เทศน์บนศาลา

ปฏิบัติต่อ-ใจ

๑๘ ต.ค. ๒๕๕๒

 

ปฏิบัติต่อ-ใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะนะถ้ามันเข้าถึงใจเรา มันสะเทือนหัวใจนะ ถ้าเราฟังธรรมนะมันไม่สะเทือนหัวใจ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง มันสะเทือนหัวใจนะ มันทิ่มแทงหัวใจเรา จนให้เรามีการเปลี่ยนแปลงได้ ธรรมะนี่ แต่ถ้าเป็นทางโลกเห็นไหม มันโอ้โลมปฏิโลม มันโอ้โลมปฏิโลมกัน สัญญาอารมณ์ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นธรรมะนะ มันสะเทือนหัวใจ ถ้าสะเทือนหัวใจ คนนั้นมีโอกาสได้การเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงเราเลยนะ มันเปลี่ยนแปลงอุดมคติ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา เปลี่ยนความเป็นอยู่ของเรา

ถ้าเราไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่งอาศัยเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ธรรมะเห็นไหม ธรรมชาติ ธรรมชาติ มันเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าธรรมะเห็นไหม ธรรมะนี่มันสะกดตายตัวเลย มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นที่พึ่งอาศัยของจิต มันเป็นที่พึ่งอาศัยของใจนะ แต่ถ้ามันสะเทือนหัวใจ มันทำให้เราได้ขวนขวาย ให้เราเปลี่ยนอุดมคติ

แต่ถ้าไม่มีธรรมมาเป็นที่พึ่งที่อาศัยนะ เราจะประกอบชีวิตทางโลก เราอยู่กับโลกเขาไป ทุกข์ร้อนขนาดไหนนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบชีวิตของเราเหมือนวัวเทียมเกวียน เห็นไหม เกวียนเทียมแอกนี่ต้องลากไปนะ ทุกข์ยากขนาดไหนก็ต้องลากมันไป มันจะทุกข์ยากขนาดไหน เห็นไหม โคนั้นเหมือนหัวใจ ร่างกาย ชีวิตเรา ภพชาติเราเหมือนเกวียน มันต้องลากแอกนั้นไปตลอด ไม่มีวันปลดแอกนั้นออกจากหัวใจ ออกจากร่างกายนั้นได้ มันต้องทุกข์ยากต้องยากไปอย่างนั้น

แต่ถ้าเรามีธรรมะเป็นที่พึ่งเห็นไหม โคเทียมเกวียนเห็นไหม โคเทียมเกวียนมันก็ลากเกวียนนั้นไปนั่นนะ ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ ชีวิตมันก็ต้องลากมันไปอย่างนี้ แต่มันมีโอกาสปลดแอกนั้นได้นะ โคนั้นกับเกวียนนั้นจะแยกออกจากกันได้ โคนั้นมันต้องลากเกวียนนั้นไปอีก ดูสิ เวลาโคมันลากเกวียนนั้นไป มันลากไปเห็นไหม มันทุกข์ยากขนาดไหน มันจะต้องทุกข์ยากต้องลากไปอย่างนั้นล่ะ

นี่จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ธรรมนี้มันจะรักษาหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้ารักษาหัวใจของเรานะ เราปฏิบัติต่อใจ ถ้าเราจะปฏิบัติต่อใจของเรา เราจะต้องซื่อตรงกับธรรมะ ต้องปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริง เราจะปฏิบัติต่อใจ ไม่ใช่ปฏิบัติต่อกาย ในปัจจุบันนี้เราปฏิบัติต่อความรู้สึกของเรานะ เป็นคนเห็นไหม ดูสิ เราเกิดมาเป็นคน เราว่ามนุษย์สมบัติมีค่ามหาศาล มนุษย์สมบัตินี่เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่ประเสริฐมาก

เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบสิ่งต่างๆ เห็นไหม ได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบต่างๆ มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติทั้งหมด แล้วเราก็ว่าเราได้ปฏิบัติกัน เราปฏิบัติกันนะ เราปฏิบัติจากคนให้เป็นมนุษย์ เพราะเราปฏิบัติดิบๆ เราไม่ได้ปฏิบัติต่อใจของเรา เราปฏิบัติต่อความรู้สึกต่อความเป็นมนุษย์ของเรา ต่อความเป็นคนของเรา คน คนไม่ทั่วเห็นไหม ดูสิ เขาคนแกง คนเครื่องแกง คนกาแฟกัน มันคนไม่ได้ มันคนไม่สม่ำเสมอไง คนๆ คนจนไม่มีวันจนจบไง นี่ คน

แล้วเวลาปฏิบัติเห็นไหม ศึกษาธรรมนี่ เวลาเราศึกษาธรรมะกันมา เราบอกนี่เราปฏิบัติแล้วเดี๋ยวนี้เป็นคนดีขึ้นมา เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ดี เป็นคนขี้โมโห เป็นคนมีความทุกข์ยากในหัวใจ ปฏิบัติไปแล้วนี่ เดี๋ยวนี้เป็นคนดีเห็นไหม ละความโกรธได้ เห็นไหม จากคนเป็นมนุษย์ไง นี่ปฏิบัติต่อคน ปฏิบัติต่อความรู้สึก ปฏิบัติความคิดไง มันคิดกันอย่างนี้

พอมันคิดกันอย่างนี้เห็นไหม เพราะมันเอาความคิดดิบๆ เหมือนไม้ดิบนี่ เราจะจุดไฟเอามาสีไฟนะ สมัยโบราณไม่มีไม้ขีด ไม่มีไฟแช็ก ไม่มีต่างๆ เขาสีไฟกันนะ ต้องเอาไม้แห้งนะสีไฟกัน จนกว่าไฟมันจะมีประกาย มันจะมีความร้อนของมันเห็นไหม เอาไม้ดิบๆ มาสี นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของเรา เราประพฤติปฏิบัติกันนะ มันปฏิบัติต่อคน ปฏิบัติต่อความคิด ปฏิบัติของเราแล้วปฏิบัติโดยวิทยาศาสตร์ เราปฏิบัติแล้วเราศึกษาธรรมะแล้วเราปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติต่อคน ปฏิบัติต่อความรู้สึกของเรา

แต่มันไม่ได้ปฏิบัติต่อใจ เพราะมันไม่รู้จักว่าหัวใจคืออะไร มันไม่รู้จักว่าใจคืออะไรไง แล้วมันก็เกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม มีกายกับใจ เวลาโกรธเวลาทุกข์เวลายาก นี่เพราะหัวใจมันทุกข์มันยาก ความรับรู้มันทุกข์มันยากทั้งนั้น นี่มันพูดกันไปนะ พูดกันไปโดยสัญชาตญาณ พูดกันไปโดยความรู้สึก แล้วใจมันคืออะไรล่ะ ไม่รู้ ใจคืออะไรไม่รู้ ทำความสงบของใจก็ทำไม่เป็น แล้วแยกไม่ถูก อะไรคือใจ อะไรคือร่างกาย อะไรคือความรู้สึก แยกกันไม่เป็น เห็นไหม

มันไม่ได้ปฏิบัติต่อใจของเรา มันไม่ได้ปฏิบัติต่อต้นเหตุ เวลาเราเกิดขึ้นมาเห็นไหม นี่จิตปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันเกิดเห็นไหม ปฏิสนธิจิต มันมาเกิดขึ้นมาเห็นไหม มีร่างกายกับจิตใจ มีร่างกายกับจิตใจ แล้วใจนี่มันมาจากไหน ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณมันอยู่ที่ไหน นี่ต้นเหตุ ต้นเหตุพาเกิดพาตายนะ แต่พอเวลาเกิดขึ้นมาแล้วนี่ เป็นคนขึ้นมาแล้วนี่ ถึงบอกพิร่ำรำพันกันนะว่านี่เป็นคน โอ้ ศึกษาพุทธศาสนา แต่ศึกษาแล้วเข้าใจมาก โอ้โฮ แตกฉานมากนะ มีความรู้ความเห็น แหม มี เปลี่ยนแปลงความคิด จากคนเป็นมนุษย์ไง

นี่ไงปุถุชน กัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนเขายังไม่ได้เป็นเลยนะ แค่ความสงบของใจแค่ความต่างๆ ขึ้นมา แล้วคำว่าสามล้อถูกหวย เวลาพูดถึงสามล้อถูกหวย มันตีความได้หลากหลายมาก คำว่าสามล้อถูกหวยเพราะมันไม่เคยรู้สิ่งใด พอรู้สิ่งใดขึ้นมาก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เป็นธรรม นี่เวลาพูดกันเห็นไหม โสดาบันนี่ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็นโสดาบัน แม้แต่พระพุทธเจ้าก็รู้เราไม่ได้ มีความเข้าใจแล้วว่าเป็นโสดาบัน นี่ไง มันไม่ได้ปฏิบัติต่อใจ ใครเป็นโสดาบันล่ะ เวลามรรคผลนิพพานเห็นไหม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ที่ไหน ตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ แต่เวลาสัจจะความจริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่ามกลางหัวอก ท่ามกลางหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่จิตนี่มันชำแรกออกมาจากอวิชชา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ เวลาพูดถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์หนุ่ม ไม่เคารพพราหมณ์แก่ เห็นไหม พวกพราหมณ์นี่เขาถือกันมากเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เรากราบเคารพบูชาใครไม่ได้เลย เพราะจิตของเราเห็นไหมเราเป็นศาสดา จิตของเรานี่มันเป็นไก่ฟองแรก ไก่ตัวแรกที่มันจิก มันชำแรกอวิชชาออกมา ชำแรกฟองไข่ออกมา เราเป็นไก่ตัวแรกเห็นไหม

ในเรื่องมนุษย์เห็นไหม สัตว์ ๒ เท้าที่ประเสริฐที่สุดคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเสริฐที่สุด ไม่มีใครเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งต่างๆ อย่างนี้มันเกิดมาเห็นไหม มีการกระทำ มันมีความเป็นไปของมันขึ้นมา มันถึงมีการกระทำของมันขึ้นมา นี่บอกว่า จะเป็นโสดาบัน จะเป็นสกิทา อนาคาไม่มีใครรู้ได้ นี่ไงมันปฏิบัติต่อคน ปฏิบัติต่อความรู้สึก มันไม่ได้ปฏิบัติต่อใจของเขา เขาไม่เข้าใจของเขานะ เขาไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย เขาไม่เข้าใจ เขาแยกแยะสิ่งใดไม่ถูกเลย ไม่ถูกเลยแล้วมันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราจะประพฤติปฏิบัติแล้วเรามีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรานี่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ ท่านรื้อค้นของท่านขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาปรินิพพานไปแล้วเห็นไหม เวลาพระอานนท์ไปถามๆ ว่า เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง “ อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ธรรมและวินัยที่เราตรัสไว้ดีแล้ว นี่จะเป็นศาสดาของเธอ ” เป็นศาสดานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว คำสอนคำสั่งเตือนต่างๆ ตั้งแต่วินัย วินัยคือข้อบังคับ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ในสุตตันตปิฎก เป็นวิธีการสั่งสอนใครแต่ละบุคคลเห็นไหม เป็นธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา เราเคารพบูชา ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็พบ ท่านก็ประสบกันมา ท่านก็ศึกษาของท่าน แต่การประพฤติปฏิบัติอันนี้ต่างหากล่ะ การประพฤติตามสัจจะความจริงเห็นไหม ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมา จนปฏิบัติใจของท่าน เอาใจของท่านชำแรกออกจากอวิชชา ชำแรกจากอวิชชา พยายามประพฤติปฏิบัติเข้าไป เป็นขั้นเป็นตอนไปจนถึงที่สุดเห็นไหม ชำแรกออกจากอวิชชาขึ้นไป แล้วท่านสั่งสอนพวกเรา เราเป็นชาวพุทธ เรามีครูมีอาจารย์ของเรา ท่านสอนเรานะ ท่านสอนเราให้เรามีความเชื่อมั่น ให้มีความมั่นคง แล้วให้กำหนดพุทโธๆๆ ไปเห็นไหม ให้กำหนดพุทโธๆๆ ไปนี่ สิ่งที่เรียนมาศึกษามา ปริยัติ ปริยัติศึกษามาแล้ววางไว้ก่อน แต่ถ้าเราศึกษาปริยัตินี่นะ ในปัจจุบันเห็นไหมมีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มีศักยภาพอะไร หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทางวิชาการได้เรียนมาขนาดไหน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นจบ ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคมาหรือเปล่า หลวงปู่มั่นเอาวิชาการมาจากไหน หลวงปู่มั่น เมื่อไม่มีความรู้ทางวิชาการนี่จะเอาอะไรประพฤติปฏิบัติ ก็เอาความจริงปฏิบัติไง ปฏิบัติต่อใจขององค์หลวงปู่มั่นไง

ท่านปฏิบัติต่อความจริงของท่าน แล้วหัวใจของท่านชำแรกออกมา มันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ของท่าน จากความจริงของท่าน ทางวิชาการก็วิชาการ ก็ศึกษาเหมือนกัน ก็เปิดดูได้เทียบเคียงได้ทั้งนั้น เทียบเคียงแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เทียบเคียงขึ้นมา แต่ของเราเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราศึกษาของเราขึ้นมา ต้อง!เป็นอย่างนั้น ต้อง!เป็นอย่างนั้น นี่ก็ปฏิบัติไปเห็นไหม มันเป็นกรอบนะ แล้วไม่เป็นความจริงสักอย่างหนึ่ง เพราะปฏิบัติต่อความรู้สึกของตัวเอง ปฏิบัติต่อความเป็นคนของตัวเอง มันไม่ได้ปฏิบัติต่อใจของตัวเองนะ ถ้าปฏิบัติต่อใจของตัวเองเห็นไหม เราเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเรา พุทโธๆๆๆ พุทโธไปเรื่อยๆ เห็นไหม เราจะปฏิบัติต่อใจ เราหาใจเราเจอไหม ดูสิ อย่างกองไฟ เวลาเราจุดไฟขึ้นมา เราจะบริหารไฟนั้นอย่างไร ถ้าเราบริหารไฟเห็นไหม ไฟในเตา ไฟทำอาหารของเรา ไฟเพื่อแสงสว่างของเรา เราใช้ประโยชน์ขึ้นมาเห็นไหม แต่นี่ไฟฟ้าขึ้นมา เขาทำเป็นอุตสาหกรรมขึ้นมา ถ้าไฟฟ้าก็ใช้ในอุตสาหกรรม เขายังได้ประโยชน์ของเขาขึ้นมามหาศาล เขาใช้ของเขาเป็น แต่ไฟฟ้าลัดวงจร มันก็เผาไหม้โรงงานนั้นหมดทั้งโรงงานเลย ต้นทุนต่างๆ ที่มี มันเผาไหม้หมด

สิ่งต่างๆ ดูไฟป่าสิ เวลารักษาไฟ ไฟเวลามันติดขึ้นมานี่เห็นไหม ไฟป่านี่มันเผาผลาญหมดนะ มันเผาผลาญบ้านเรือน เผาผลาญถึงชีวิตของคน เผาผลาญหมดเลย ความรู้สึกของเราเห็นไหม ดูความรู้สึกเราที่เกิดเป็นคน กายกับใจนี่ ใจตัวนี้มันมีอวิชชาอยู่ เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง ดูสิ เวลาคนเรานี่มันคดโกงกันนะเห็นไหม มันยึดประเทศนะ เซ็นสัญญานี่ทำสัญญาข้ามประเทศนะ เอเอฟทีต่างๆ ทำสัญญายึดประเทศได้หมดล่ะ ทำอะไรก็ได้ ด้วยอะไร ด้วยกลโกงเห็นไหม มันเผาผลาญเขา มันทำลายมันเอารัดเอาเปรียบเขา สิ่งต่างๆ ในหัวใจมันเผาทำลาย ไม่แต่ทำลายเรานะ ทำลายหมดเลย

ดูสิ สมัยโบราณเห็นไหม เวลากษัตริย์ต่างๆ เขารบราฆ่าฟันกัน มันเป็นคนสองคน คนสองคนถ้ามีความผิดใจกัน รบราฆ่าฟันกัน แหลกลาญกันไปหมดเลย นี่ไง สิ่งที่มันจะบริหารอย่างไร มันจะรู้จักควบคุมมันอย่างไร ไฟ ไฟถ้าเอามาเป็นประโยชน์นะ มันจะเป็นประโยชน์กับการดำรงชีวิต เป็นประโยชน์กับธุรกิจ อุตสาหกรรมต่างๆ เห็นไหม เป็นประโยชน์หมดล่ะ

จิตก็เหมือนกัน จิตความรู้สึกของหัวใจ ถ้ามันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นของมันเห็นไหม แล้วเรามีตัณหาความทะยานอยากอย่างนี้ แล้วรักษาไม่เป็น คนเราถ้าไม่รู้จักไฟ ไม่รู้จักกายกับใจ บริหารใจไม่เป็น แล้วเอาใจมาทำอะไร ไฟนี่ถือไฟมาก็เที่ยวเผาเขาทั่วไปหมดอย่างนั้นเชียวหรือ นั่นเหมือนกัน ดูสิ เวลาภูเขาไฟมันระเบิดเห็นไหม ลาวามันพุ่งออกมา เราจะทำอย่างไร เราจะบริหารจัดการมันอย่างไร เราไม่อะไร พอระเบิดก็วิ่งหนีกันทั้งนั้นล่ะ อพยพกัน ลาวามันไหลไปแล้ว จนกว่ามันจะสงบเย็นเข้ามาแล้วนี่ มันมีกำมะถันมีต่างๆ มันทำให้จุดนั้นเข้าไปไม่ได้ มันจะเป็นโทษกับชีวิตไง หัวใจของเรา มันมีอวิชชาอยู่ แล้วเราไปศึกษาธรรมะ มันลาวามันระเบิดออกมาแล้วทำอะไร โอ้ย นิพพานสงบเย็นไง ลาวามันสงบเย็นไหมล่ะ

กว่าภูเขาไฟมันจะระเบิด พลังงานของมันที่สะสมมามีมากขนาดไหน มันถึงจะระเบิดออกมา จิตใจของเราที่ตายเกิดมา อวิชชาในหัวใจมันสะสมมากับใจ นี่มันมากมายขนาดไหน แล้วบอกสงบเย็นๆ นี่ สิ่งที่ทำแล้วมันจะไม่มีโทษกับเรา นี่มันจะเป็นไปได้ไง ภูเขาไฟระเบิดออกมานี่มันไม่ทำลายใครหรือ แล้วภูเขาไฟมันจะระเบิดมา มันจะระเบิดมาจากอะไรล่ะ ไม่ได้ระเบิดมาจากพลังงานที่มันสะสม พลังงานที่มันอัดแน่นของมัน แล้วลาวามันระเบิดออกมา นี่กิเลสตัณหาความทะยาน เมื่อก่อนเราเป็นคนเลวมาก เดี๋ยวนี้เป็นคนดีแล้วนะ เดี๋ยวนี้ไม่เคยโกรธเลย โกรธไม่เป็น

เวลาครูบาอาจารย์อย่างเรานี่เทศน์ อู๋ อารมณ์รุนแรงมาก อู้ย น่ารังเกียจเดียดฉันท์ สิ่งต่างๆ มันเป็นประโยชน์ ถ้ามันถึงเวลาเป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์นะ จริงจัง คนจริงคนจัง คนทำจริงจังขึ้นมา มันจะได้ความจริงขึ้นมา คนเหลาะแหละ คนโลเล คนเจ้าเล่ห์แสนกล เจ้าเล่ห์แสนกลนี่มันจะเอาอะไรเป็นประโยชน์ขึ้นมา มันไม่มีประโยชน์หรอก แล้วมันหาความจริงก็ไม่ได้ หาความจริงของตัวเองก็ไม่เป็น แล้วมันสงบเสงี่ยม สำนวนอ่อนหวานนะ ซ่อนมีดเอาไว้ข้างหลังคนละ ๒๐ เล่ม เผลอเป็นแทง เผลอเป็นแทง แล้วอย่างนั้นหรือเป็นธรรมะ ธรรมะทำไมยังเอาผลประโยชน์ ธรรมะทำไมไม่เป็นธรรม

ดูสิ พระพุทธเจ้านี่เอาประโยชน์กับใคร ไม่มีกำมือในเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่มีกำมือในเรา ไม่มีความลับลมคมในในองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แบตลอดเลย พวกเราต่างหากเข้าไม่ถึง พวกเราต่างหากบริหารไม่เป็น พวกเราต่างหากเข้าไม่ได้ เพราะอะไรเพราะพวกเราบริหารใจไม่เป็น ไม่ปฏิบัติต่อใจของตัว เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติเรื่องของคนอื่นทั้งนั้นเลย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสมบัติของเราหรือ เราไปศึกษาปริยัติขึ้นมานี่ ไปศึกษาธรรมะวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่มันเป็นสมบัติของเราไหม มันเป็นความจำทั้งนั้นล่ะ มันเป็นความจำขึ้นมา

แล้วในหัวใจของเรานี่ ภูเขาไฟ ความอัดแน่นของกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนี่ มันอัดแน่นขนาดไหน แล้วบอกว่าสงบเสงี่ยม ก็กดมันเอาไว้สิ ภูเขาไฟนี่ลาวาอย่าให้มันระเบิดออกมานะ พลังงานนี่อัดมันไว้นะ โอ้ เมื่อก่อนโกรธมาก เดี๋ยวนี้ไม่โกรธเลย มันเดือดอยู่ข้างใน มันเดือดอยู่ เดี๋ยวมันจะปะทุอออกมานั่นนะ มันไม่มีการชำระล้างมันไม่มีการกระทำ มันจะสะอาดบริสุทธิ์ไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วพอสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาเห็นไหม โสดาบัน ก็ไม่มีใครรู้ได้กับเรา สกิทา อนาคา ไม่มีใครรู้ได้กับเราหรอก

ไม่มีใครรู้ได้ แล้วปัจจัตตังมันอยู่ที่ไหน สันทิฏฐิโกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร สันทิฏฐิโกที่จะเกิดในหัวใจนี่ มันเป็นสันทิฏฐิโกมันไม่ชำระกิเลส เวลากิเลสขาดดั่งแขนขาขาด ถ้ามันไม่มีการกระทำขึ้นมา ไม่มีการขาดไป กิเลสมันขาดตรงไหน ตรงไหนมันเป็นการเริ่มต้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เวลาอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้ามา เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดลมหายใจเข้ามา เวลาจิตสงบเข้ามา บุพเพนุวาสานุสติญาณ เวลาปฐมยามนี่มันเป็นอย่างไร จุตูปปาตญาณมันเป็นอย่างไร อาสาวักขยญาณนี่มันชำระกิเลส มันชำระตรงไหน แล้วทำไมชำระไม่ได้

เวลาเทศน์ธรรมจักร พระอัญญาโกณฑัญญะนะ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ถ้าพระอัญญาโกณฑัญญะนี่มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ถ้าไม่เป็นพระโสดาบัน แล้วทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับประกัน ว่าอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ แล้วปัญจวัคคีย์ อัสสชิ มหานามยังไม่รู้นี่ ไม่รู้คือไม่รู้

นี่ก็บอกว่าโสดาบันคนอื่นรู้ไม่ได้ โสดาบันพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ ตัวเองก็ไม่รู้แล้วเป็นโสดาบัน แล้วโสดาบันของใครนั่นนะ นี่ไงมันปฏิบัติต่อคน ปฏิบัติต่อความรู้สึก ปฏิบัติแล้วนี่เห็นไหม อ้างอิงเรื่องธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ ปฏิบัติครบสูตรแล้วไง ก็เข้าใจแล้ว แต่ขณะที่มันเป็น มันเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ได้อย่างไร แล้วโสดาบันเป็นอย่างไร มันไม่ได้ปฏิบัติต่อใจ ถ้าปฏิบัติต่อใจนะ เรากำหนดพุทโธๆ ใจของเรานี่เหมือนไฟ พระพุทธเจ้าเปรียบเรื่องใจของเรา ใจของมนุษย์มันมีอำนาจ ด้วยแรงของมันเห็นไหม ท่านเปรียบใจของคน เหมือนกับช้างสารที่ตกมัน มันเอามันไม่อยู่หรอก ช้างสารตกมันนี่ ควาญช้าง เวลาตกมันยังไม่กล้าเข้าใกล้เลย มันทำลายถึงควาญของมันนะ

นี่ไงจิตใจของเราเวลามีกิเลสอยู่นี่ เหมือนช้างที่มันตกมัน มันฟาดงวงฟาดงากับตัวเราเองนี่ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้ เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติต่อมัน เราไม่ได้ดูแลมัน ไม่ได้รักษามัน แล้วจะเอา จุดเริ่มต้นจากการประพฤติปฏิบัติตรงไหน ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติต่อใจของเรา เราจะเอาใจของเราออกจากใจได้อย่างไร ทั้งๆ ที่หัวใจมันเรียกร้องความช่วยเหลือนะ จิตใจของเรานี่มันทุกข์ยากมากนะ แล้วศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ปฏิสนธิจิต นี่ไงเราเกิดมาเป็นพระ ก พระ ก ก็เกิดมาเป็นพระ ก แล้ว แล้วพระ ก มันมาจากไหน พ่อแม่ตั้งให้นะ ชื่อ ก นี่พ่อแม่ตั้งให้ แล้วเวลาปฏิสนธิจิต จิตมันเกิดมาจากในครรภ์มันเกิดมาอย่างไร มันอยู่ในท้องนี่อีก ๙ เดือนมันมาจากไหน นี่สมมุติไง สมมุติเป็นพระ ก เห็นไหม เป็นนาย ก นาย ข นาย ง นี่ ใครเป็นคนตั้งให้ พ่อแม่ตั้งให้ทั้งนั้นล่ะ นี่เวลาโตขึ้นมาแล้วมันไม่พอใจ จะมาเปลี่ยนชื่ออีกนะ เปลี่ยนเป็นนางสวรรค์ เปลี่ยนเป็นนิพพานในหัวใจ ชื่อมันนี่ชื่อนิพพานเลย แต่หัวใจมันเร่าร้อนไง

เพราะมันไม่รู้จักบริหารจิตใจของมัน มันไม่รู้จักเข้ามาดูใจของตัว ถ้าดูใจของตัวเราจะบริหารอย่างไร ถ้ามันมีความเชื่อมั่นของมันนะ ถ้าเรามีความเชื่อมั่นของเรา มันจะเป็นข้อเท็จจริง ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงนะ เราศึกษามาศึกษาธรรมนั้น คำว่าศึกษาปริยัติศึกษา ศึกษาเสร็จ เวลาปฏิบัติมันต้องวางไว้ แล้วมันเป็นข้อเท็จจริงนะว่าศึกษามันได้แต่ชื่อ มันได้แต่ความจำ มันไม่ได้เป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้หรอก

ดูสิ เราเรียนจบเห็นไหม เราเรียนจบเลย เรียนจบทางวิชาการไหนก็แล้วแต่ บอกเรารู้หมดเราทำได้หมด เป็นจริงหรือเปล่าล่ะ มันเป็นจริงไหม ถ้ามันไม่ฝึกงานก่อน ไม่ออกประพฤติปฏิบัติ ไม่ออกมาชำนาญการขึ้นมา มันทำอะไรไม่ได้หรอก ทางวิชาการก็ทางวิชาการ เราศึกษาวิชาการมานี่ เว้นแต่อาชีพทางวิชาการ นักกฎหมายเขาก็วิชาของเขา ทำงานของเขา แล้วมันเป็นวิชาชีพของเขา แล้วกิเลสมันแก้ตรงไหนล่ะ มันเป็นเนื้องานขึ้นมาไม่ได้หรอก

นี่เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมานี่ ถ้าเราไม่ปฏิบัติต่อใจของเรา เราหาใจของเราไม่ได้ เราบริหารจัดการจเราไม่ได้ มันจะเริ่มต้นกันอย่างไร มันจะพาหัวใจเราพ้นออกไปจากกิเลสได้อย่างไร ไปศึกษามามันก็เอาแต่ดูสิ กองไฟเผาออกไปทั้งนั้นล่ะ ดูสิ ไฟมันจี้เข้าไปที่ไหน มันก็เผาทำลายหมดเห็นไหม ขยะที่ไหนมันก็เผาทำลายหมด ไอ้นี่ก็เหมือนกันเวลาศึกษาธรรมพระพุทธเจ้า มันก็เผาไปด้วยไง เผาทั้งพระพุทธเจ้าเลย เผาหมดเลย ว่างๆ เผาหมดเลย แล้วว่างอย่างไร ไม่รู้ แต่ว่าง ว่างนี่นิพพานสงบเย็น เย็นมากๆ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้

แม้แต่ไม่มีใครเขารับรู้กับเรา สันทิฏฐิโกมันไม่มี ปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนมาจากไหน มันไม่มีความมั่นคง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราเชื่อมั่นเราศึกษาแล้ววางไว้ ศึกษาแล้วเรารู้หมดเลย โอ้ อู้ย มรรคญาณนะ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่วิปัสสนาโดยตรง มรรคญาณเกิด อู้ย มรรครวมตัวสามัคคี โอ้ย มันเป็นการสร้างภาพหมดล่ะ เวลามันเผาเห็นไหม มันเผาเราเองนะ นี่ไฟจี้เข้าไปมันเผาทำลายหมด ทั้งๆ ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ก็เผาทำลายธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วก็มาเผาทำลายตัวด้วย เพราะเราบริหารจัดการไม่ได้

เราต้องเอาไฟนี่ให้มันสงบ ให้อยู่ในเตา ไฟแสงสว่างก็ให้มันอยู่ในแสงสว่าง ไม่ให้ลัดวงจร กำหนดพุทโธๆๆๆ เข้าไปนะ รักษามันให้ได้แล้ว ทำให้เป็นคุณงามความดีขึ้นมา เวลาจิตสงบขึ้นมาให้รู้จักว่าจิตสงบ ถ้าจิตมันไม่สงบขึ้นมา สิ่งที่คิดสิ่งที่ทำนั้น มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ คำว่าปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม คำว่าสมาธิคืออะไร คือจิตสงบ แต่ถ้ามันเป็นปัญญาขึ้นมานี่ ปัญญาอบรมสมาธิคืออบรมความสงบอันนี้

ปัญญาอบรมสมาธิเพราะมันมีความรู้จริง เพราะเราแยกแยะถูก เพราะเราบริหารจัดการถูกต้อง ถ้าเราบริหารจัดการถูกต้องนะ เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่ ผลของมันคือมันปล่อยวางเข้ามา ถ้าผลปล่อยวางเข้ามา นี่ไง ใครเป็นคนปล่อยวาง ใครเป็นคนปล่อยวางความคิด ใครเป็นคนปล่อยวางอารมณ์ ใครเป็นคนปล่อยวางความทุกข์ความยากเข้ามา คนปล่อยวางมันคือใคร คนที่ปล่อยวางเข้ามา พอปล่อยวางเข้ามา ถ้าจิตมันมีสติเข้ามานี่มันจะรู้ตัวมันนี่ “ อึ๊ อึ๊ ” พอมันปล่อยวางเข้ามาเรื่อยๆ แล้วมันปล่อยวางเข้ามา นี่ไงปัญญาอบรมสมาธิ

พุทโธๆๆ นี่ ไฟมันเผาผลาญไปทั่ว ดูสิ ไฟป่ามันเผาเห็นไหม เวลาไฟป่าเกิดขึ้น โลกร้อนขึ้นมานี่ ไฟป่ามันจะเผาทำลายทั้งบ้านเรือน ทำลายทั้งป่าไม้ ทำลายต่างๆ หมดเลยเห็นไหม จิตใจที่มันทำลายอยู่นี่ จิตใจที่มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่นี่ แล้วมันทำลายอยู่ตลอดเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้กำหนดพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ทำความสงบของใจให้ได้ก่อน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ คฤหัสถ์เห็นไหม ผู้ที่ไม่เป็นชาวพุทธขึ้นมานี่ ต้องเทศน์อนุปุพพิกถา ตั้งแต่ทาน ศีล เรื่องของทานคือเรื่องของการเสียสละ เรื่องของสวรรค์ พอผลของทานเสร็จผลได้เกิดบนสวรรค์ เกิดสวรรค์นี่ ก็ถือเนกขัมมะ ให้ถือเนกขัมมะให้ประพฤติปฏิบัติ แล้วถึงมาเทศน์อริยสัจ เพราะเหตุใด นี่ไงแล้วถึงเทศน์อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธเจ้าไม่เทศน์ทั่วไปนะ

พระพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการนี่ พวกคฤหัสถ์นี่ต้องเทศน์อนุปุพพิกถาก่อน เพื่อจะให้เขารู้จักการเสียสละของเขาก่อน เสียสละแล้วผลของการเสียสละเขาได้อะไรขึ้นมา ผลของการเสียสละเขาได้สิ่งที่เป็นอามิส สิ่งที่ทำบุญกุศลขึ้นมา ผลตอบแทนมันคืออะไร แล้วใครมันได้ผลตอบแทนนั้น ผลตอบแทนนั้นมันได้สวรรค์ได้พรหมขึ้นมา ให้ถือพรหมจรรย์เห็นไหม ให้ถือเนกขัมมะ ให้เนกขัมมะคือบวชไง มันถึงจะได้สิ่งคุณงามความดีมานะ เพราะคุณงามความดี มันจะบริหารจัดการของมัน เพราะมันรู้จักคุณงามความดี รู้จักความสำนึก พอรู้จักความสำนึกขึ้นมานี่เห็นไหมให้ถือเนกขัมมะ เนกขัมมะคือจิตใจที่มันจะออกแสวงหาของมัน นี่ไง นี่มันต้องปฏิบัติต่อใจให้ถูกต้อง

ถ้าเราปฏิบัติต่อใจแล้วไม่ถูกต้อง เราปฏิบัติต่ออะไร เราปฏิบัติต่ออารมณ์ความรู้สึกนะ ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ คนเกิดมามันมีภาษา มีการสื่อสารกัน เป็นสัญชาตญาณขึ้นมา สัญชาตญาณขึ้นมา มันเป็นสื่อสารตามความสำคัญของมนุษย์ แต่ในหัวใจ ในหัวใจมันมีกิเลสมีอวิชชาทั้งนั้น มันมีตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นภูเขาไฟ ลาวามันอัดแน่นอยู่ในนั้น พลังงานมันมหาศาล มันจะระเบิดออกมานะ แล้วก็ไปลูบๆ คลำๆ กันนะ ลาวาระเบิดออกมาเลยนะ ยังบอกว่าเอาพรมไปปูไว้นั่งบนลาวาได้นิ่ม โอ้โฮย เย็นมาก มันระเบิดขึ้นมาลอยขึ้นมา โอ๋ มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขนะ มันจะตายมันยังไม่รู้สึกตัวมันเลยนะ มันไม่รู้จักว่ากิเลสจะขี่หัว กิเลสจะฆ่ามันนะ

แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธๆๆๆๆ ของเราเห็นไหม เราแยกของมัน เรารักษาของเรา เราแยกออกเห็นไหม เพราะจิตถ้ามันสงบเข้ามา คำว่าจิตสงบ จิตสงบจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน แล้วไม่ใช่ สงบแบบมิจฉาสมาธิ คำว่าปฏิบัติสมาธิเป็นสมาธิ แล้วมันจะเกิดนิมิต สมาธิจะเป็นสมถะ น่าเกรงกลัว น่ารังเกียจเดียดฉันท์ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะปฏิเสธความเป็นไปของเรา

คนที่เป็นมนุษย์ปฏิเสธความสุข ความทุกข์ในหัวใจได้ไหม ความพอใจ ความดีใจ ความเสียใจในหัวใจเราปฏิเสธมันได้ไหม เราเคยปฏิเสธความรู้สึกในหัวใจเราได้ไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะปฏิเสธสมถะ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะปฏิเสธเรื่องสมาธิ เราปฏิเสธมันไม่ได้ ถ้าเราปฏิเสธมันเห็นไหม เราต้องปฏิเสธว่าเราไม่มีหัวใจ เราต้องปฏิเสธว่าอารมณ์ความรู้สึกเราต้องเป็นความดีตลอดไป ทำไมอารมณ์ความรู้สึกเรา เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวมีความรัก ความชัง ทำไมมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นล่ะ ก็ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น

ถ้าธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกของคน ที่เราจะบริหารจัดการเห็นไหม นี่ปฏิบัติต่ออารมณ์ ไม่ได้ปฏิบัติต่อใจไง ถ้าปฏิบัติต่ออารมณ์แล้วควบคุมอารมณ์ให้ดีนี่ โอ้โฮ เมื่อก่อนเป็นคนเลวมาก เดี๋ยวนี้เป็นคนดี คนก็คือคน แล้วคนมันได้อะไร มันก็ตายเปล่าไง มันก็ตายของมัน ตายจากคุณงามความดีด้วย ตายจากเพราะความถอนรากถอนโคน ถอนรากถอนโคนเพราะไม่ยอมเข้าไปเผชิญ ไม่ปฏิบัติตามความจริงต่อใจของตัว

ถ้าปฏิบัติตามความจริงต่อใจของตัว พุทโธๆๆๆ ผลของมันไงๆ ถ้าเรามีความเข้าใจ มีความเป็นจริง บริหารจัดการได้ถูกต้อง เราปฏิบัติต่อใจได้ถูกต้อง จิตมันสงบเข้ามา การประพฤติปฏิบัติทั้งหมด เนี่ยเขาถึงบอกว่าเป็นโสดาบันก็ไม่เข้าใจ นี่มันเป็นมิจฉาหมดไง มิจฉาเพราะมันแถออกจากตัวใจของตัว มันแถออกจากข้อมูล มันแถออกจากต้นเหตุ ต้นเหตุของการเกิดคือปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันเป็นต้นเหตุ ต้นเหตุของการเกิดและการตาย ต้นเหตุของอวิชชามันอยู่ที่นี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ถ้าต้นเหตุ ถ้าจิตดวงนี้มันไม่ได้สะสมข้อมูลมา ความสร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ มันจะสืบต่อ ต่อเนื่องมาได้อย่างไร เหตุผลที่มันตกผลึกเก็บไว้ในหัวใจนี้ ตกผลึกออกมาจนมีอำนาจวาสนาบารมี มีปฏิภาณไหวพริบขึ้นมา จนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันมาจากไหน นี่คือต้นเหตุ

ต้นเหตุมันอยู่ที่ปฏิสนธิจิต มันอยู่ที่จิตอยู่ที่ใจนี้ ถ้าต้นเหตุมันอยู่ที่นี้ แล้วเราไปชำระที่ต้นเหตุนี้ ทิ้งกันไม่ได้ ถ้าเราค้นหาที่เกิดที่ตายของจิตไม่ได้ เราหาที่เกิดที่ตายของใจ เราบริหารจัดการใจไม่เป็น เราหาใจของเราไม่เจอ แล้วจะเอาอะไรไปประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติก็ลูบๆ คลำๆ ด้วยสัญชาตญาณ โดยความคิดที่เรามีความรู้สึก คิดว่านี่คือการปฏิบัติธรรม

มันเป็นการปฏิบัติธรรมโดยปฏิบัติอารมณ์ความรู้สึก แล้วอารมณ์ความรู้สึกนี้คืออะไร อารมณ์ความรู้สึกของเรานี่ เราจะมีปัญญา เราจะมีความรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าได้มากมายขนาดไหน ก็มันไปเรียนปริยัติมาไง มันก็ไปท่องจำมาไง ท่องจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่ไง เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมะสาธารณะ ธรรมะธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมดเลย ธรรมชาติมันก็หมุนเวียนไปไง แล้วมึงรู้อะไร มึงก็เกิดมาในธรรมชาตินั้นล่ะ

ธรรมชาติก็จิตนี้เกิดในธรรมชาติ เกิดในวัฏฏะ ธรรมะคือธรรมชาติคือวัฏฏะ ธรรมชาติคือการเวียนว่ายตายเกิด นี่คือธรรมชาติ แล้วธรรมะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันก็เวียนว่ายตายเกิดนี่ไงเพราะอะไร เพราะบริหารใจไม่เป็นไง เพราะเข้าถึงต้นเหตุไม่ได้ไง ไม่รู้จักต้นเหตุมันอยู่ที่ไหน แล้วทำต้นเหตุให้เป็นความจริงขึ้นมาก็ไม่เป็น แต่อ้างธรรมะพระพุทธเจ้า อ้างธรรมะพระพุทธเจ้า นี้หรือการปฏิบัติ เพราะไม่ได้ปฏิบัติต่อใจของตัวให้ถูกต้อง ไปปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า ไปบริหารจัดการธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ การเกิดเป็นธรรมชาตินะ พอธรรมชาติก็ว่างนะ ว่างแล้วไปไหนล่ะ สวะ สวะนะ นี่ผลของวัฏฏะ สวะมันลอยไปในวัฏฏะไง

แล้วธรรมะเป็นธรรมชาติใช่ไหม จิตนี้มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ที่มันหมุนไปกับธรรมชาติไง แล้วการเวียนว่ายเวียนเกิด ถ้าเราไม่ดื้อดึงขัดขืนมัน มันก็เวียนไปด้วยความสุขไง เราพอใจ เราพอใจการเวียนว่ายตายเกิด นี่ไง มันสงบเย็น เย็นก็มันหมุนไป นี่ไงแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ มันไม่ปฏิบัติตรงต่อใจ ถ้าปฏิบัติตรงต่อใจนะ เราเชื่อมั่นในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกถึงกรรมฐาน ๔๐ ห้อง กรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ ถ้าเราไม่ทำความสงบของใจขึ้นมาก่อน เราไม่แยกแยะซะก่อนว่า ไฟ ไฟเราควรจะบริหารจัดการมันอย่างไร ใจของคนนี่เราจะบริหารจัดการมันอย่างไร ถ้าเราควบคุมไม่ได้ ไฟมันก็เผาผลาญไปตามแต่กำลังของไฟนั้น ยิ่งมีลมพัดมา ยิ่งมีออกซิเจนเข้ามา ต้องมีลมมากระพือไป มันจะเผาทำลายหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราควบคุมอะไรไม่ได้เลยหรือ ความรู้สึกเรานี่ ใจของเรานี้เราควบคุมอะไรไม่ได้เลยหรือ เราบริหารจัดการใจเราไม่เป็นเลยหรือ ถ้ามันพุทโธๆๆๆ ถ้ามันสงบเข้ามา นี่ไงเราควบคุมได้ไง เราควบคุมได้ เราจัดการได้ ภูเขาไฟมันจะระเบิดใช่ไหม ภูเขาไฟมันมีแรงอัดของมันใช่ไหม เราตัดทอนมันได้ใช่ไหม ถ้าเราตัดทอนมันได้ ภูเขาไฟนี้จะระเบิดไม่ได้ ระเบิดไม่ได้เพราะอะไร เพราะเรามีคำบริกรรมพุทโธๆๆ นี่ บริกรรมนี่

ภูเขาไฟภูเขาภูเราไง ภูเขาคือหัวใจไง สิ่งที่แรงอัดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง ถ้าเราไปพุทโธๆๆ เห็นไหมมันถอนมันคลายออก มันคลายออก จนจากภูเขามันกลายเป็นภูเขาที่ระเบิดแล้ว ภูเขาที่ระเบิดแล้วมันภูเขาไฟที่ตายแล้ว มันไม่มีไง มันไม่มีแรงขับนะ

นี่ไง พุทโธๆๆ บริหารจัดการของเราไป ภูเขาไฟที่มันไม่มีพลังงานแล้วนี่ เราอยู่ด้วยความสุขสบายนะ นี่ก็เหมือนกันจิตนี้ พุทโธๆๆๆๆ ไป พอจิตมันสงบขึ้นมาเห็นไหม พอจิตสงบ นี่ไง เราจะบริหารหัวใจเราได้อย่างไร ปฏิบัติต่อใจเราอย่างไร ถ้าใจสงบแล้ว พอใจสงบ สงบด้วยเหตุใด สงบเพราะเรามีสติสัมปชัญญะ มีสติรอบรู้ในความคิดของเรา แล้วสงบไปเพราะอะไร เพราะเราบริหารเป็น

เราเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติโดยครูบาอาจารย์ของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องมีสมาธิ เราต้องมีความสงบของใจพอสมควร ไม่ใช่ว่าประพฤติปฏิบัติโดยกิเลสเห็นไหม อู้ ต้องปฏิบัติให้สงบเลย อัปปนาสมาธิ ต้องจิตนี้ว่างหมดเลย แล้วค่อยออกวิปัสสนา การประพฤติปฏิบัติมันอิงกันตลอด ขณะที่จิตเราสงบแล้ว เราออกใช้ปัญญานี่ มันจะโล่ง มันจะโถง นะปัญญาเนี่ย

“ความคิด ความนึก คิดในปัญหาประเด็นเดียวกัน จิตที่ฟุ้งซ่านมาก พอเห็นปัญหานี้ โอ้โฮ มันเหยียบหัวใจ มันทุกข์มันร้อนมากเลย พอเราจิตสงบปัญหาเดียวกันนะ ปัญหานี้มันเหมือนกับขนนกเลยนะ มันเบาหวิว มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย ใจของเราสงบแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเห็นไหม นี่ไงพอจิตมันสงบนะ ถ้าเรารักษาจิตของเรานะ ปัญหานี่เรามองเห็นปัญหาเป็นคนละเรื่องเลย ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา ปัญหาที่มันเป็นขวากหนาม ที่มันจะกีดขวางเรานี่ มันไร้สาระเลย แต่ถ้าใจเราฟุ้งซ่าน ใจเรามีแต่ความทุกข์ ปัญหานี่เหยียบหัวอกเลยนะ”

ไปปฏิบัติก็เป็นห่วงไปหมดเลย ปัจจัยเครื่องอาศัยก็ไม่มี นู้นก็ไม่มี นี่ก็ไม่มี ทุกข์ร้อนไปหมดเลย เพราะจิตใจมันหยาบ จิตใจมันละเอียดนะ เราแสวงหาธรรม เราต้องการธรรมะเป็นที่พึ่งของเรา ถ้าธรรมะที่พึ่งของเรา ธรรมะมีประโยชน์มีคุณค่ามหาศาลเลย ไอ้ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ วัตถุอย่างนี้ มันของเศษเดน ของไม่มีคุณค่าใดๆ เลย เพราะใครก็หาได้ ดูสิ สัตว์เวลาเขาเอาไปเลี้ยง เห็นไหม สัตว์สาธารณะ เขายังเอาไปเลี้ยงได้เลยสัตว์นะ มนุษย์ยังไปเลี้ยงสัตว์ได้เลย

แล้วเราเองทั้งชีวิตเรามีคุณค่ามากกว่าสัตว์อีก ไม่ต้องให้ใครมาเลี้ยง เราจะเลี้ยงดูแลหัวใจของเราเองเห็นไหม ถ้าจิตใจมันสุขสงบเข้ามา ปัจจัยเครื่องอาศัยสิ่งต่างๆ ที่มันเป็นปัญหาขึ้นมา จะไม่เป็นปัญหาใดๆ เลย แต่ถ้าจิตใจมันหยาบนะ ปัญหามันจะเกิดขึ้นมามหาศาลเลย มันเหยียบย่ำทำลายตัวเอง

เราตั้งสติของเรา เราจะปฏิบัติต่อใจของเราให้เข้มข้น ปฏิบัติต่อใจของเราให้เป็นคุณงามความดีขึ้นมาเห็นไหม กำหนดพุทโธก็ได้ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้จิตมันสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามาคือเราควบคุม เราควบคุมไฟ เราควบคุมแรงอัดต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้นมาเราควบคุม คำว่าควบคุมนี้แล้วมันก็ดีขึ้นมา ดูภูเขาไฟที่มันไม่มีพลังงานเห็นไหม เราน่าไว้ใจไหม เรามีความสุขได้ไหม เราไม่มีความวิตกกังวลเลย แต่ถ้าภูเขาไฟมันควันกรุ่นๆ ขึ้นมานี่ มันจะระเบิดอยู่นี้ โอ้โฮ ทุกคนต้องอพยพหลบหนีมันนะ

ถ้าใจของเราเราควบคุมได้ เราบริหารจัดการได้ ปฏิบัติต่อใจให้มันถูกต้อง ถ้าปฏิบัติต่อใจให้มันถูกต้องนะ มันสงบเข้ามาขนาดไหน คำว่าปฏิบัติต่อใจถูกต้องนี้ มันต้องอยู่ที่อุดมคติ อยู่ที่เป้าหมาย อยู่ที่ความเริ่มต้น ถ้าความเริ่มต้นของเรานี้ เราจะเข้าไปสู่ความสงบของใจ เราจะต่อสู้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นที่ผิดเพี้ยน มันจะบอกว่า นี่ศึกษาธรรมไง นี่คือปัญญา ปัญญา วิปัสสนาแล้วปล่อยวาง มันทำของมันนี่ไงมันเผาทำลาย

มันเผาทำลายโดยไฟเย็น โดยความร่มเย็นคิดว่าเย็นไง คิดว่าความถูกต้องไง เพราะกิเลสมันมาในทางร้อนก็ได้ มาทางเป็นไฟก็ได้ มาทางหิมะก็ได้ หิมะเวลามันตกขึ้นมานี่ มันกัดเนื้อ กัดจนเป็นแผลเลยนะ มันให้ผลให้โทษทั้งคู่แหละ นี่เหมือนกันเวลาปฏิบัติธรรมนะ โอ๊ย มันเป็นความร่มเย็นเป็นหิมะไง หิมะทับหลังคามากเดี๋ยวบ้านพังนะ เดี๋ยวพังทั้งหลัง จะพังหมด ความประพฤติปฏิบัติจะล่มสลายหมดเลย ล่มสลายเพราะความอุดมคติ เพราะความเป้าหมายที่เราวางไว้

ถ้าอุดมคติหรือเป้าหมายที่วางไว้มันผิดพลาด เราก็พยายามคัดเลือก พยายามแยกแยะ ปัจจัตตังไง รู้จำเพาะตน พยายามตรวจสอบ พยายามทำความเข้าใจ ถ้าพยายามทำความเข้าใจนะ ทำไมจิตเป็นอย่างนี้ วันนี้ประพฤติปฏิบัติแล้วทำไมจิตมันสงบได้ วันนี้ประพฤติปฏิบัติแล้วทำไมจิตมันสงบไม่ลง มันเป็นอย่างนี้ ดูสิ หุงข้าวนี่ ถ้ารักษาดีๆ ข้าวต้องสุกทุกหม้อนะ ถ้าข้าวไม่สุกทุกหม้อเราจะเอาข้าวที่ไหนมากิน

แต่เวลากำหนดพุทโธๆนี่ จิตมันสงบทุกทีไหม ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ จนกว่ามันต้องลุ่มๆ ดอนๆ เห็นไหม จนกว่าจะมีความชำนาญงาน เนี่ยปฏิบัติตรงต่อใจให้มันถูกต้อง ถ้าปฏิบัติต่อใจให้ถูกต้องเห็นไหม ถ้าเรากำหนดให้ถูกต้อง เราทำด้วยความชำนาญเหมือนหุงข้าว หุงข้าวเราตั้งไฟเห็นไหม เราซาวข้าวเสร็จแล้วตั้งหม้อนี้มันต้องสุก ถ้าไม่สุกนะเราลืมกดไฟ ลืมอะไรต่างๆ นี่เราก็ต้องทำใหม่ ทำซ้ำมันก็สุกเป็นครั้งที่ ๒ ข้าวมันต้องสุกมาแน่นอน มันถึงเป็นอาหารให้เรากินได้

แล้วพุทโธๆ นี่มันเสื่อมบ้าง มันทำลายบ้าง มันทำไม่ถูกต้องบ้าง มันเป็นอนิจจังตลอดไป แต่ถ้ามีผู้ชำนาญนะ ทำจนชำนาญ ทำจนเข้าใจเลย พอเรามีความชำนาญใช่ไหม เรามีความรู้ความเข้าใจ เราทำอย่างนี้มันต้องเป็นได้ ทำอย่างนี้ต้องเป็นได้ ผู้ชำนาญในวสีนะ เพราะชำนาญในวสีไม่งั้นสมาธิจะตั้งมั่นได้อย่างไร จิตเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นจะออกวิปัสสนา นี่เราทำบ่อยครั้งเข้า แล้วพอทำบ่อยครั้งเข้า เวลาออกทำงานนี้ จิตมันเพลินต่องานนี่ มันก็จะเสื่อมไปมันก็ต้องกลับมา มันมีความชำนาญทั้ง ๒ ฝ่าย ความชำนาญทั้งสมถะด้วย ความชำนาญทั้งวิปัสสนาด้วย

เมื่อไรจะได้วิปัสสนาล่ะ พุทโธๆ อยู่นี่ ชาตินี้ก็ไม่ได้วิปัสสนาหรอก จะได้วิปัสสนาหรือไม่ได้วิปัสสนานี่ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของเรา มันอยู่ที่พันธุกรรมทางจิตเห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันต่อเนื่องมาอย่างไร ต่อเนื่องมาถึงที่สุดแล้วมันขับดันมา อำนาจวาสนาบารมีขับดันมาให้จิตนี่ ดูสิ ไปเที่ยวสวนนะ เจ้าชายสิทธัตถะไปเที่ยวสวนนี่เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย นี้มันสะดุ้งมันสะเทือนหัวใจเลย ว่าทำไมต้องมีคนเกิดด้วยล่ะ ทำไมต้องมีคนแก่ด้วยล่ะ ทำไมต้องมีคนเจ็บด้วยล่ะ ทำไมต้องมีคนตายด้วยล่ะ ถ้ามีคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ฉันก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายด้วยสิ ถ้าฉันไม่ต้องการอย่างนี้ ฉันจะหาทางออกเห็นไหม อำนาจวาสนาบารมีที่สร้างมา เห็นภาพอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ออกบวชเป็นศาสดาของเราอยู่ในปัจจุบันนี้

ไอ้เรานี่นะเวลาไปงานศพนะ เขาต้องบังสุกุลเป็น บังสุกุลตายนะ เขาต้องเอาศพเวียน ๓ รอบ เตือนแล้วเตือนอีกนะ ๓ รอบนี้เวียนตายเวียนเกิด กามภพ รูปภพ อรูปภพ มึงจะมาเกิดอีก มึงจะตายอีก เขาเตือนเขาบอกนะ ชักบังสุกุล เขาก็บอกให้ไปพิจารณาศพ เวลามันไปงานศพมันก็ไปคุยกัน มีเงิน ๕๐๐ ล้าน ไอ้นั่นมีบ้าน ๔ หลัง มันไม่สนใจเลยเห็นไหม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านสะเทือนใจท่านนะ แล้วก็บอก ปัญญาชนนะ ศึกษาธรรมะนะ วิปัสสนาสายตรง นิพพานสงบเย็น ขนาดคติธรรมเขาเตือนขนาดนั้น มันยังไปปากเปียกปากแฉะพูดแข่งกับเขาที่เมรุ แล้วมันบอกว่าวิปัสสนาสายตรงนะ ปัญญาชนนะ ดูวุฒิภาวะของจิตสิแล้วเอามาเทียบกัน เทียบกันว่าถ้าจิตมันมีคุณธรรม จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน การกระทำของมันจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ถ้าจิตมันเป็นความจริงนะ ความจริงมันอยู่ที่ใจอันนั้น ถ้าใจอันนั้นมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม เนี่ยพันธุกรรมทางจิต สิ่งที่พันธุกรรมทางจิตมันมีอำนาจวาสนา แล้วบอกเมื่อไรจะได้วิปัสสนาล่ะ หูย ถ้าอย่างนี้อีกกี่ชาติจะได้วิปัสสนา วิปัสสนาหรือไม่วิปัสสนา มันอยู่ที่วุฒิภาวะ อยู่ที่ข้อเท็จจริงของใจเรา ถ้าเราทำของเราขึ้นมา ปฏิบัติต่อใจของเราให้ดี ถ้าใจของเราดีนะ ถ้ามันไม่มั่นคงของมันเห็นไหม เราก็ใช้ปัญญา เวลาจิตสงบแล้วเราก็ใช้ปัญญาคิดวิตก วิจารได้ วิตก วิจารในธรรม ถ้าวิตก วิจาร ถ้าจิตมันสงบเห็นไหม

ถ้าจิตมันสงบแล้วมันมีปัญญาขึ้นมาแล้ว มันพิจารณา เราเกิดนี่เราทุกข์ยากไหม เราทุกข์ยากเราก็อย่าเสียใจ เพราะการทุกข์การยาก หรือการสุขสบายของเรา มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนา เราทำดีมา ทำชั่วมา ผลมันให้มาอย่างนี้ มันเป็นผลของกรรม ถ้าผลของกรรม ขนาดทำกรรมมายังทุกข์ขนาดนี้ ยังมีชีวิตได้เป็นมนุษย์ขนาดนี้ ยังได้ออกประพฤติปฏิบัติขนาดนี้ ถ้าเราทำกรรมดีมันจะมีมาขนาดไหน แล้วกรรมดีที่เราต้องทำมา เราเกิดมาทุกข์มายากแล้วอยากจะทำดี ทำดีก็นั่งสมาธิภาวนานี่ไง

ทำทานร้อยหนพันหน ไม่เท่าถือศีลสงบหนหนึ่ง ถือศีลสงบร้อยหนพันหน ไม่เท่าเกิดสมาธิหนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหน ไม่เท่าเกิดปัญญาวิมุตติหนหนึ่ง แล้วนั่งภาวนาอยู่แล้วปัญญามันเกิดไหม ปัญญาที่มันมีกำลัง ไม่ใช่นั่ง ๕ นาที ๑๐ นาที หัวสัปหงกโงกง่วงหัวทิ่มบ่อโน้นละ อู้ยนั่งภาวนามันทุกข์มันยาก อ้าว ก็จะพ้นจากทุกข์จะเอาความจริง เวลาจะเอาความจริง ผลของการประพฤติปฏิบัติ โอกาสของนักกีฬาที่อยู่ในการแข่งขัน เขามีการแพ้มีการชนะ โอกาสของเราก็นั่งสมาธิภาวนานี่ เวลามีโอกาสแล้วก็มาบ่นกระปอดกระแปด เลยเวลาก็บอกจะสงบเย็น จะไปนิพพานนะ

สิ่งนี้วุฒิภาวะมันจะเทียบเคียง วัดขึ้นมา แล้วเราบริหารจัดการให้เป็น ปฏิบัติต่อจิตเราให้ถูกต้อง เป้าหมายมันถูกต้องใช่ไหม พอถูกต้องมันก็พิจารณาของมันไป มันจะเป็นวิปัสสนา ไม่เป็นวิปัสสนา ผู้ที่ปฏิบัติเป็นสันทิฏฐิโก จะรู้จากข้อเท็จจริง ถ้าจิตสงบขึ้นมาแล้ว พิจารณาเข้ามาบ่อยครั้งเข้า คำว่าพิจารณานะ ใช้ออกตรึกในเหตุในผล ตรึกในธรรมนี้ จิตพอตรึกในธรรมนี้ จิตมีเหตุมีผลขึ้นมาเห็นไหม

ไม่ใช่ว่า โอ้ ตรึกในธรรมพระพุทธเจ้าเป็นโลกียปัญญาเห็นไหม ที่ว่าเป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาแล้ว เป็นปัญญาชนแล้วศึกษาธรรม ไอ้พวกที่พุทโธ ไอ้ตั้งบริหารใจ แล้วหาใจมาวิปัสสนา มันไม่ได้กินหรอก มันช้าเกินไป ชาติหน้ามันก็ไม่ได้ทำ แต่ของเราพิจารณาไปเลยนี่ไม้ดิบๆ ไง มันบริหารอารมณ์ความรู้สึกมันไม่ได้บริหารของใจไง เวลามันปล่อยวางขึ้นมา นี่ไงโสดาบันที่ไม่รู้ตัวอะไรเลย โสดาบันก็ไม่รู้ว่าโสดาบัน แล้วไม่ต้องมีใครทายหรอกโสดาบันนะ

โสดาบันนะมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก เวลามันขาดนะ ดั่งแขนขาด ตัวพระโสดาบันต้องรู้จักโสดาบันชัดเจนมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่รับทราบ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นโสดาบันใจนั้นเป็นโสดาบันจริงๆ คำว่าจะเป็นโสดาบันจริงๆ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขนาดที่จิตเราสงบ หรือเราพยายามทำของเรา เราตรึกในธรรมะ เราออกมาวิเคราะห์วิจัยธรรมะ ผลของมันก็คือปัญญาอบรมสมาธิ ผลของมันก็คือส่งเสริมกัน ส่งเสริมให้การกระทำของเรา มันแน่นหนามั่นคงขึ้น ให้มันเข้มข้น จิตใจให้มันเข้มข้นขึ้น เพื่อเราจะปฏิบัติต่อใจให้มันถูกต้อง ถ้าปฏิบัติต่อใจถูกต้องเห็นไหม พอปฏิบัติต่อใจถูกต้อง ส่งให้ใจนี้มีฐานะ มีกำลังมีมุมมอง ในแบบเจ้าชายสิทธัตถะ ออกไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านยังออกประพฤติปฏิบัติ ออกค้นคว้าหาโมกขธรรม จนเป็นศาสดาของเรา

จิตใจของเรานะ ถ้ามันมีกำลัง มีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันไปพิจารณาถึงชีวิตพิจารณาถึงความเป็นไปของโลก พิจารณาถึงความเป็นไปนี่ มันจะหดสั้นเข้ามาไง มันจะไม่ออกไปแบกโลก มันจะหดเข้ามาเป็นตัวของมัน พอหดเข้ามาเป็นตัวของมัน เห็นไหม แล้วมันปล่อยมันวาง มันมีความสงบเข้ามา ถ้ามันจะคลายตัวออก ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเราก็พุทโธต่อไป หรือจะใช้ปัญญาอบรมสมาธิต่อไป เราจะออกใช้ปัญญาต่อไป ผลของมันก็คือสงบเข้ามา นี่คือการปฏิบัติต่อใจ นี่คือการหาต้นเหตุแห่งการเกิดและการตาย

ต้นเหตุของมัน มันอยู่ที่ปฏิสนธิจิต มันอยู่ที่ความรู้สึก อยู่ที่ใจของเรา ที่มันเกิดมันตายอยู่ ธรรมะมันไม่อยู่ในหนังสือ ธรรมะไม่ได้อยู่ในอากาศ ธรรมะมันไม่อยู่ในที่ใดๆทั้งสิ้น มรรคผลนิพพานไม่อยู่กับใครทั้งสิ้น ไม่อยู่กับแก้วแหวนเงินทอง ไม่อยู่กับประกาศนียบัตร ไม่อยู่กับใบประกันของใครทั้งสิ้น ไม่มี ธรรมะมันอยู่ในหัวใจนี่ ถ้าเราปฏิบัติต่อใจให้ถูกต้อง เราจะเข้าไปสู่ธรรมะ เราจะเข้าไปเห็นธรรม เราจะเข้าไปประสบกับธรรมะ เราจะเข้าไปประสบกับความเป็นจริงของเรา

แล้วเราบริหารจัดการของเรา แล้วมันจะไปน้อยเนื้อต่ำใจกับใครล่ะ มันจะไปเสียใจทุกข์ใจกับใคร ว่าเราปฏิบัติแล้วมันทุกข์มันยาก แล้วเราจะไปเสียใจกับใคร มันเป็นผลงานของเรา มันเป็นสิ่งที่ประสบมากับเรา เป็นสิ่งที่เราสร้างของเรามา มันเป็นสิ่งที่เกิดและตายมา แล้วเกิดเป็นมนุษย์มาพบพุทธศาสนา แล้วมีความมั่นคง แล้วมีการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ อย่างนี้แล้วยังไม่มีคุณค่าอีกหรือ ทำไมไม่มาเตือนตัวเอง ทำไมไม่เอาสิ่งนี้มาเตือนตัวเอง ทำไมไม่มีความขวนขวาย

ถ้ามีความขวนขวายขึ้นมานะ มันพิจารณาของมันขึ้นมานะ มันจะปล่อยวางขนาดไหนเห็นไหม มีสติสัมปชัญญะตลอด มันรู้ของมัน มันปล่อยวางของมันนะ ตื่นตัวตลอด นี่ไงมีสติสัมปชัญญะ มันจะตื่นตัวตลอดๆ มันปล่อยวางเข้ามาตลอด มันเป็นสมถะ เหมือนมันจะเป็นกำลังของจิตขนาดไหน พอพิจารณาเข้าไป พิจารณาพอบ่อยครั้ง เราปฏิบัติต่อใจจนมีความถูกต้อง พอใจมันมีพื้นฐาน เห็นไหมเป็นภูเขาไฟที่ไม่มีพลังงาน

พอภูเขาไฟไม่มีพลังงาน เราจะทำไร่ไถนาได้นะ เราจะเลี้ยงสัตว์ก็ได้ ภูเขาทั้งภูเขา เรามีของเรา เราจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมาได้แล้วใช่ไหม จิตที่มันสงบร่มเย็นแล้ว จิตที่มันมีหลักของมันแล้วเห็นไหม ถ้ามันออกรู้ออกเห็นนี่มันแตกต่างนะ ดูสิ ภูเขาไฟจะระเบิดนี่ ลาวามันปะทุออกมา ถ้าเราอยู่ที่นั่น เราเสี่ยงภัยไหม เราต้องรีบหนีออกไปจากเภทภัยตรงนี้ไหม นี่ไง ถ้าจิตเราบริหารอารมณ์ความรู้สึกนี่ เราไม่รู้นะ ถ้าคนไม่เข้าใจเรื่องลาวา ไม่เข้าใจเรื่องความร้อน มันตายเปล่าเลย

แต่นี่พอความร้อนมันมา ควันมันมา เราตกใจเราหนีไปแล้ว แต่พอจิตมันสงบขึ้นมา เรากำหนดของเราขึ้นมา เราปฏิบัติต่อจิตของเราให้ถูกต้องขึ้นมา แล้วพอจิตเราสงบขึ้นมา นี่ภูเขาที่มันไม่มีพลังงาน ภูเขาที่มันสงบเย็น เราทำอะไรของเราได้ล่ะ เราอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไหม เราจะทำกสิกรรม เกษตรกรรม เราจะเลี้ยงสัตว์ เราปลูกพืชเรือกสวน ไร่นา เราทำอะไรได้หมดเลยเห็นไหม พอจิตมันสงบไง นี่บริหารใจให้ถูกต้อง ปฏิบัติต่อใจให้ถูกต้องขึ้นมา

แล้วจิตมันสงบขึ้นมา ถ้ามันออกรู้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมนี่ไง เห็นกายทำไมต้องเห็นกายล่ะ ทำไมต้องเห็นกาย กายก็เป็นของเราอยู่แล้ว เราเอามีดฟันมันทิ้งก็ได้กายนี่ มันไม่เอามันก็ได้ เราทำลายมันก็ได้ มันทำได้แต่กายไง มันทำลายกายแล้วหัวใจมันเป็นอย่างไรล่ะ หัวใจมันก็เกิดบาปอกุศล มันเกิดความเจ็บช้ำน้ำใจต่อไปเห็นไหม การพิจารณานี่เอาหัวใจออกมาพิจารณามัน ร่างกายของเรานี่สิ่งที่รักสงวนที่สุด สิ่งที่เกิดมาได้กายกับใจมา สิ่งที่สงวนที่สุด แม้แต่หัวใจเดี๋ยวก็ต้องทำลายมันนะ ถ้าพิจารณาไปเห็นไหม ปฏิบัติต่อใจให้ถูกต้อง

แล้วปฏิบัติต่อใจถูกต้อง ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ขึ้นมา แล้วปล่อยเข้ามาเป็นชั้นๆ เข้ามา ถึงที่สุดแล้วตัวมันก็ต้องทำลายนะ ตัวใจต้องทำลาย เพราะตัวใจคือตัวเก็บข้อมูลไว้ ตัวต้นเหตุใช่ไหม ตัวต้นเหตุให้เกิดให้ตายใช่ไหม ตัวต้นเหตุใช่ไหม นี่เหตุมันเกิดเพราะ ชาติปิ ทุกขา เกิดเพราะชาติการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แล้วการทำลายความทุกข์อย่างยิ่ง ทำลายที่ไหน ถ้าไม่ทำลายที่ต้นเหตุของการเกิด ไม่ทำลายปฏิสนธิจิตที่ไปเกิดในไข่ของมารดา ไม่ทำที่ต้นเหตุที่ไปเกิดในโอปปาติกะ ถ้าไม่ทำที่ต้นเหตุที่นั้นมันยังมีการเกิดอยู่ แล้วมันจะไปจบสิ้นกันที่ไหน

ถ้าความจบสิ้นของมันเห็นไหม ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องขึ้นมา มันมีกำลังของมันขึ้นมา พอกำลังของมันขึ้นมา พิจารณาโดยปัญญาอบรมสมาธิหรือสมาธิอบรมปัญญาเข้ามาบ่อยครั้งเข้า จนจิตมันตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นมันออกรู้นะ พอจิตมันออกรู้ออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม โดยจิตที่สงบ โดยภูเขาไฟที่สงบเย็น โดยภูเขาที่มันไม่มีพลังงาน เพราะภูเขาไฟนี่มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นแร่ธาตุ มันแก้ไขมันไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งเห็นไหม แต่หัวใจของมนุษย์ เรามีธรรมะ เรามีสติมีปัญญา

เห็นไหมกองไฟ ถ้าเราใส่เชื้อเข้าไป ไฟนี้ไม่มีวันดับ แต่เรามีสติปัญญาเข้ามาเราหาเหตุหาผลเห็นไหม หาเหตุหาผล ทำไมมันคิดอย่างนี้ ทำไมมีความรู้สึกอย่างนี้ ทำไมหัวใจเรานี่มันเร่ร่อนขนาดนี้ เห็นไหม ข้อมูลอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้มันไปชักฟืนชักไฟ ชักฟืนชักไฟคืออะไร คือความเข้าใจผิด คืออวิชชาความไม่รู้จักตัวของมันเอง พอมันเข้าใจผิดมันชักความเห็นผิด ชักความเห็นผิด ชักความลังเลสงสัยชักดึงออก ดึงออกด้วยอะไร ดึงออกด้วยปัญญา ปัญญามันเข้าไปใคร่ครวญ มันแยกแยะเข้ามานี้ มันก็ดึงประเด็น ดึงปัญหาออกไป บ่อยๆ ครั้งเข้าเห็นไหม

กองไฟนั้นถ้าไม่มีเชื้อมันจะติดได้ไหม กองไฟจะติดได้ไหม นี่ไงเวลาปัญญามันพิจารณาเข้าไป มันพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลเข้ามา มันชักความลังเลสงสัย มันชักความอกุศล มันชักออกบ่อยๆ ครั้งเข้า บ่อยๆ ครั้งเข้า มันก็สงบเย็นได้ไง พอมันสงบเย็นขึ้นมา สงบเย็นแล้วเรามีอุดมคติ เรามีเป้าหมาย เรามีอธิษฐานบารมี เรามีความถูกต้องใช่ไหม การสงบเย็นอย่างนี้ ชักออกมาอย่างนี้ มันก็ชักออกมาเฉยๆ มันไม่มีเหตุมีผลของมัน

เห็นไหม เพราะไม่มีเหตุมีผลของมัน นี่ไงเขาถึงบอกว่าโสดาบันก็ไม่รู้ด้วยตนเอง ตนเองที่ไม่รู้ว่าเป็นโสดาบันหรอก นี่ครูบาอาจารย์ก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ ก็ไม่รู้ไง ก็ไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่มีเหตุมีผล แต่พอเราชักออกไปบ่อยครั้งเข้า จนจิตมันสงบเห็นไหม จิตมันมีกำลังของมันเห็นไหม ปฏิสนธิจิต ใจมันเป็นผู้เก็บข้อมูล ใจมันเป็นผู้รับสุขรับทุกข์ทั้งหมด แล้วเราควบคุมความสุขความทุกข์ ควบคุมความเสมอภาค ควบคุมจิตที่มันสากล จิตที่มันสมาธิก็ได้ เห็นไหม

แล้วมันออกรู้นะมันสะเทือนมาก มันสะเทือนมาก โดยจิตใต้สำนึกเห็นไหม เราพิจารณากายแล้วเราตัดทิ้งก็ได้ กายเราปฏิเสธอย่างไรก็ได้ นั่นพูดแต่ปาก แม้แต่อารมณ์ความรู้สึก คิดออกมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์หรอก แต่ถ้ามันเป็นมรรคญาณ มันเป็นสิ่งที่มันกระเทือนเห็นไหม จากที่เราปฏิบัติต่อใจให้ถูกต้อง พอปฏิบัติต่อใจถูกต้อง แล้วใจมันออกไปรับรู้ นี่ไงเหตุผลข้อเท็จจริงมันสมบูรณ์ เหตุผลข้อเท็จจริงมันสมบูรณ์ แล้วมันต้องให้ค่าตามความเป็นจริงของมัน จิตถ้ามันสงบของมันขึ้นมา มันเป็นพื้นฐานว่าเป็นสัมมาสมาธิ

สัมมาสมาธิจนมีความมั่นคง จนจิตตั้งมั่นของมันขึ้นมา เวลามันออกเห็นออกรู้ขึ้นมา มันออกเห็นออกรู้เห็นไหม มันจะเป็นโลกุตรปัญญา สิ่งที่เป็นโลกุตรปัญญา สิ่งที่เกิดขึ้นจากจิต สิ่งที่ปัญญาเกิดขึ้นจากจิต จากหัวใจที่เราบริหารจัดการที่มันถูกต้องแล้ว เวลามันใช้ปัญญาขึ้นมาเห็นไหม ปัญญาอย่างนี้มันเกิดจากใคร ปัญญาอย่างนี้ไม่เกิดในเครื่องคอมพิวเตอร์ ปัญญาอย่างนี้ไม่เกิดในทฤษฎีต่างๆ ไม่เกิดโดยปัญญา ไม่เกิดโดยสมอง ไม่เกิดในใดๆ ทั้งสิ้น ปัญญานี้มันเกิดจากปฏิสนธิจิต

ปฏิสนธิจิต หัวใจของเราที่มันเกิดมันตาย นี่มันต้นเหตุที่มันเกิดมันตาย ทำให้เราเกิดทำให้เราผิดพลาดขึ้นมา ให้เราเวียนในธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ การเกิดการตายเป็นธรรมชาตินี่ ธรรมชาติๆ นี่ทำให้ทุกข์น่าดูเลย แล้วพอมันบริหารจัดการ บริหารจัดการใจจนเป็นโลกุตรธรรม โลกุตรปัญญานี่ มันออกไปรับรู้ พอมันพิจารณาออกไป มันเข้ามากระเทือนต้นเหตุแห่งการเกิดและการตาย เข้ามากระเทือนหัวใจ มันเป็นมรรคญาณอย่างไร

นี่ไงภาวนามยปัญญาไง ขณะมันสั่นไหวๆ กระเทือนหัวใจนี่ มันทำให้หัวใจนี่สั่นไหว ทำหัวใจนี่กระเทือนไปหมดเลย มันจะลบล้างไง ลบล้างจากความเห็นผิด ลบล้างจากสักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐินี่ความเห็นว่าร่างกายเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรานี่ ปากเปียกปากแฉะเลยว่าไม่ใช่ๆ คนตายแล้ว ตายแล้วไปเมรุ เขาเผาแล้วมันยังไม่รู้สึกตัวของมันนะ เพราะจิตมันออกจากร่างไปแล้ว แต่ถ้าขณะปัจจุบันนี้ใครเป็นคนเผา ตบะธรรมเราเผานะ เพราะเราปฏิบัติต่อใจที่ถูกต้องแล้ว ใจถูกต้องแล้วมันมีกำลังของมัน พอมีกำลังของมันแล้วออกวิปัสสนาไป กำลังของวิปัสสนาญาณ เข้ามาสะเทือนหัวใจ มันจะปล่อยนะ

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาจิตมันสงบเข้ามา มันเป็นสมถะ ความร่มเย็นเป็นสุข มันก็รู้ความรู้สึกอันหนึ่ง แต่เวลาจิตมันสงบเข้ามา จิตมันพิจารณาของมันเข้ามานี่ มันปล่อย มันปล่อยมัน ถอดถอนอุปาทาน ถอดถอนอวิชชา ถอดถอนความเห็นผิดนี่ มันถอดถอนนี่ ตทังคปหานนี่ มันต่างกัน อารมณ์ความรู้สึกมันต่างกัน นี่เป็นสมถะ มันเป็นความสงบของใจ มันก็มีรสชาติอันหนึ่ง มันเป็นผลของสมาธิธรรม รสของสมาธิธรรม

แต่เวลาจิตนี้มันวิปัสสนาไป เพราะมันมีกำลังมันแล้วนะ มันแตกต่างกัน ค่าของเงินมัน ๕ บาท ๑๐ บาท มันก็ต่างกันอยู่แล้ว แบงค์มันคนละใบ มันก็แตกต่างกัน แล้วนี่จิตมันสงบมันวิปัสสนาไปสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานมันแตกต่างกัน แล้วมันแตกต่างกันนะ มันแตกต่างกันอย่างไรนะ อารมณ์ความรู้สึกมันแตกต่าง ค่าของมันให้ผลแตกต่างกันนี้ มันแตกต่างกันอย่างไร ถ้าครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมา ท่านรู้ ท่านเคยผ่านของท่านมา ท่านปฏิบัติของท่านมาอยู่แล้ว มันถึงบอกว่าสมถะก็ปฏิเสธไม่ได้ วิปัสสนาก็ปฏิเสธไม่ได้

ถ้าใครปฏิเสธสมถะ ปฏิเสธวิปัสสนาปฏิเสธโดยเชิง โดยเชิงว่าให้ค่าด้วยความเห็นผิด แต่เวลาผลของมันก็บอกก็ไม่ได้ ปฏิเสธมันก็ต้องมี มันก็ต้องมี คำว่าต้องมีๆ แล้วมีจริงหรือเปล่า

สมถะสมาธิต้องมีจริง คำว่ามีจริงมันมีอย่างไร ก็บริหารจัดการหัวใจไม่เป็น ปฏิบัติต่อใจไม่เป็น ใจตัวเอง ก็ไม่รู้จักใจของตัวเอง แล้วสมาธิมันเกิดตรงไหนล่ะ สมาธิมันเกิดตรงไหน ถ้าสมาธิมันเกิดที่จิต ก็บอกสมาธิต้องเกิดที่จิต สมาธิต้องเกิดที่ใจนี้ล่ะ แต่สมาธิมันเกิดอย่างไรล่ะ ถ้าตั้งใจจงใจผิดหมดล่ะ ถ้าปล่อยให้เกิดเอง เกิดเองถึงจะเป็นข้อเท็จจริง อย่างนี้หรือเป็นธรรมะ ธรรมะเป็นอย่างนี้หรือ ธรรมะเป็นความเห็นตนเองอย่างนี้ถูกต้องหรือ

เพราะข้อเท็จจริงศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันตายตัวของมันอยู่แล้ว ข้อเท็จจริง องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนะ พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ข้างหน้า อนาคตวงศ์ก็จะมาตรัสรู้เหมือนกัน แล้วตรัสรู้แล้วก็อริยสัจเหมือนกัน ความเห็นมันเหมือนกัน แล้วมีสติปัญญา ความตั้งใจ ความเพียรชอบ ความวิริยะ ความอุตสาหะ เป็นมรรคอันหนึ่ง ในขบวนการของมรรคมันก็มีของมันอยู่แล้ว แล้วขบวนการของมรรคมันมีอยู่แล้วนี่ แล้วเราจะให้ค่าของเราเองได้อย่างไร เราจะบอกว่ามันก็ต้องมีเหมือนกัน มันต้องเป็นไป มันมีเหมือนกันเพราะมันจนด้วยเหตุผลไง มันจนด้วยเหตุผลว่ามรรค ๘ มันมีสัมมาสมาธิ ถ้าจะบอกว่ามันไม่มีขึ้นมา ตัวเองก็จะไม่ถูก ไม่เข้าข้อเท็จจริง ก็ต้องบอกว่าตัวเองเข้าข้อเท็จจริง แล้วเข้าข้อเท็จจริง แต่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่รู้

ถ้ารู้ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร ๆ ขณะจิตที่มันเปลี่ยนนี้มันเปลี่ยน ขณะที่มันเป็นไป นี่ขณะที่มันเป็นไปก็ไม่กล้าพูด พูดออกไม่ได้นะ เพราะพูดมาตาย พอพูดออกมา คนไม่เคยเห็นพูดออกมาตาย เราไม่เคยมีแบงค์ดอลลาร์ เราจะบอกเรามีแบงค์ดอลลาร์ นี่เดี๋ยวเราจะเขียนขึ้นมาเองเลย แบงค์ดอลลาร์เป็นอย่างไร โดยจินตนาการของเรา แล้วออกมามันจะเหมือนแบงค์ดอลลาร์ไหม ไม่มีเหมือน มันไม่เหมือน เป็นไปไม่ได้ นี่เหมือนกันถ้าพูดออกมา มันตาย นี่มันพูดไม่ได้ ทุกอย่างไม่รู้

นี่ไงเริ่มต้นผิดมันจะผิดไปหมดนะ เพราะการบริหารด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่บริหารใจ ไม่ปฏิบัติตรงต่อใจ ไม่ซื่อตรงต่อธรรมะ ไม่ซื่อตรงต่อเหตุผล ไม่ซื่อตรงต่อหัวใจของเรา ไม่ซื่อตรงต่อต้นเหตุ ต้นเหตุแห่งการเกิดและการตาย ถ้าเราซื่อตรงของเรานะ เราพิจารณาของเราเข้าไปถึงซื่อตรงนี่ไง ทำไมมันถึงมีการเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงมันมาจากไหน สิ่งต่างๆ นี่มันแตกต่างกันอย่างไร ระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ผลของมันแตกต่างกันอย่างไร

ผลมันแตกต่าง แต่ขณะที่ผลนี้มันจะแตกต่าง ผลมันแตกต่างด้วยความชำนาญด้วยความเข้าใจนะ แต่ขณะนี้เราประพฤติปฏิบัติ มันปฏิบัติไป ผลมันยังไม่แตกต่าง ผลยังไม่แตกต่าง เพราะเราลองผิดลองถูกอยู่เห็นไหม ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาจนมั่นคง เข้ามาแล้วนี่จิตมันสงบเข้ามา แต่เวลาวิปัสสนาไปมันปล่อย มันปล่อยขนาดไหน ด้วยความพลั้งเผลอของเรา แล้วการประพฤติปฏิบัตินี่มันจะมีกิเลส กิเลสของเรานี่เพราะกิเลสมันเป็นมาร เจ้าแห่งวัฏจักรเห็นไหม

ดูสิ ธรรมะเป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายเป็นธรรมชาติเพราะอะไร เพราะมันมีพญามารคุมมันอยู่ไง พอพญามารควบคุม พญามารปิดตาไว้นี่ พอเราเกิดขึ้นมาก็ชาติใหม่ทุกทีเลย แหม สดชื่น แหมเกิดมา โอ้โฮ โลกนี่มันทำไมสวยงามขนาดนี้ ชีวิตนี้มีความร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม มารมันดลใจ มารมันปิดตาไว้หมดเลย มันถึงเป็นธรรมชาติเพราะมารมันปิดตา มันถึงเป็นธรรมชาติไง แต่ถ้าเวลาเราฆ่ามารตาย มันจะธรรมชาติไหม ธรรมะมันจะเป็นธรรมชาติหรือเปล่า ถ้าเป็นธรรมชาติมันยังเวียนตายเวียนเกิด ธรรมะไม่ใช่ธรรมชาติ ธรรมชาติเพราะมันหมุนไป

อย่างเช่น สัพเพ ธัมมา นี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมมันมีของมันใช่ไหม พระพุทธเจ้ามารู้สภาวธรรมที่มันมีอยู่แล้วใช่ไหม แต่ผู้ที่รู้ ผู้ที่เห็น ผู้ที่รู้ชำระมัน มันถอนตัวมันออกมาไง มันถอนตัวออกมาจากธรรมชาตินั้น เพราะธรรมชาติมันจะเวียนตายเวียนเกิดต่อไป นี่เหมือนกันวิปัสสนาไปนี้ ผลมันตอบได้แค่ไหน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงที่สุดมันขาดนะ นี่ไงโสดาบันมันเกิดตรงนี้ โสดาบันเวลาขาดขึ้นมา สังโยชน์มันขาดไปนี่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันขาดอย่างไร มันขาดอย่างไร แล้วจิตมันถอนมาอย่างไร

ครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ เวลาพิจารณากายไปมันแยกกันเห็นไหม กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันแยกเป็น ๓ ทวีปเลย ดูสิ คำว่าแยก ๓ ทวีปนี่ กายแยกไปส่วนหนึ่ง จิตแยกไปส่วนหนึ่ง ทุกข์แยกไปส่วนหนึ่ง แล้วจิตมันรวมลง รวมลงอย่างไร รวมลงอย่างไร แล้วมันคายอะไรออกไป มันตัดสิ่งใดทิ้งไป นี่ไงถ้าเราปฏิบัติต่อใจถูกต้อง นี่ปฏิบัติต่อใจที่มันหยาบๆ เห็นไหม พอใจมันหยาบๆใจมันละเอียดขึ้นมาแล้ว ใจที่มันละเอียดเข้ามาเห็นไหม พอใจมันละเอียดขึ้นมา นี่พอใจที่มันละเอียดขึ้นมานี่ มันมีหลักมีเกณฑ์ของมันเห็นไหม

แต่เดิมผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นนี่ปฏิบัติได้ยากมาก พอปฏิบัติเข้าไปแล้วนี้เหมือนหญ้าปากคอก การปฏิบัติหญ้าปากคอกเห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัตินี่ทุกคนปฏิบัติใหม่ๆ นี่สติปัฏฐาน ๔ ผิดหมด จะทำอะไรก็ผิดทั้งนั้นล่ะ ผิดเพราะอะไร เพราะไม่ปฏิบัติตรงต่อใจ ไม่มีตัวใจออกมาเห็นไหม ถ้าปฏิบัติตรงต่อใจแล้วใจมั่นคงกับใจ รักษาใจจนตั้งมั่น ถ้ารักษาใจจนตั่งมั่น สัมมาสมาธิมั่นคงออกมาวิปัสสนาขนาดไหน ออกมาใช้งาน

คนเศรษฐี มหาเศรษฐีถ้าใช้เงินโดยฟุ่มเฟือยนะ เศรษฐีนั่นจะเป็นยาจกทันทีเลย จิตจะมั่นคงขนาดไหน จิตจะมีสติปัญญาขนาดไหน ที่จะรักษาสัมมาสมาธิ ถ้ามันทำแต่งาน ออกไปวิปัสสนาว่าจะเอาผล เดี๋ยวมันจะเสื่อมหมดเลย พอมันเสื่อมเข้าไปแล้ว นักกีฬาจะมีแชมป์ขนาดไหน ถ้าไม่ได้ซ้อมแล้วลงแข่งๆ นักกีฬานั้นจะรักษาสถิติของตัวเองไว้ไม่ได้

จิตที่วิปัสสนาไป จิตเวลาสงบตั้งมั่นขนาดไหน ถ้ามันทำงานไปโดยที่ไม่ได้พักผ่อน มันก็เป็นไปไม่ได้ แต่การที่จะเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ อย่างนี้มันต้องประสบการณ์ของผู้ประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติไปแล้วมันมีความผิด ความถูกของมัน เวลาจิตมันเสื่อมขึ้นมานี่คอตกเลย ทำไมพิจารณาครั้งที่แล้วมันปล่อยล่ะ ทำไมพิจารณาครั้งนี้แล้วมันไม่ปล่อย แล้วพอไม่ปล่อยก็เคยทำแล้วนี่ พอไม่ปล่อยก็ยิ่งลงทุนลงแรง ยิ่งเพิ่มกำลังเข้าไป มันก็ยิ่งเสื่อมมากเข้าไป เสื่อมมากเข้าไป เพราะของมันมีกำลังไม่พออยู่แล้ว

กิเลสนี่เวลาเราพิจารณาไป พอธรรมะมีกำลังขึ้นมา มันก็หลบก็ซ่อน มันหลบมันไม่ขาด พอมันหลบมันซ่อนขึ้นมา พอจิตเราพิจารณาไป พอจิตเราเริ่มอ่อนแอลง กิเลสมันตามกระทืบเลย กิเลสมันตามกระทืบเลย พอจิตมันอ่อนแอ พอมันปล่อยวาง อื้อ ทุกข์ยากขึ้นมามันกระทืบเลย ถอยร่น ถอยร่นเลย พอถอยร่นปั๊บเหตุผลในทางลบมาแล้ว เนี่ย ปฏิบัติแล้วก็ไม่ได้ผล ปฏิบัติแล้วทุกข์ น้อยใจเสียใจ เราเป็นคนขี้ทุกข์ขี้ยาก เราคนไม่มีปัญญา กิเลสพอมันถอยร่นนะ กิเลสมันตามกระทืบๆๆๆ ไปเลย พอกระทืบแล้วนี่ แล้วเราจะบริหารใจของเราได้อย่างไร พอบริหารใจของเรา พอมีประสบการณ์ของมันนะ พอจิตมันถอยร่นเข้ามา ถึงที่สุด ลุกขึ้นมายืนสะบัดหน้าแล้วสู้มันใหม่

นี่ก็ต้องเริ่มต้นอย่างนี้ เวลาจิตมันเสื่อมจิตถอย ประพฤติปฏิบัติแล้วมันอ่อนแอลง จิตพูดขนาดไหน ฟังขนาดไหน เวลาปฏิบัติมันก็ต้องล้มลุกคลุกคลานทุกคน เพราะคำพูดกับการประพฤติปฏิบัติ แผนที่กางขนาดไหน เดินเข้าไปในพื้นที่มันแตกต่างกับแผนที่มหาศาล ครูบาอาจารย์จะเทศน์ขนาดไหน จะปิดกั้นขนาดไหน เวลาปฏิบัติไปแล้ว มันก็ต้องผิดพลาดเป็นธรรมดา สิ่งที่ผิดพลาดอย่างนี้ ประสบการณ์อย่างนี้ พอผิดพลาดขึ้นมาแล้วนี่ มันก็กลับมาตั้งทบทวน ทบทวนมันผิดเพราะอะไร

ทำสมาธิขึ้นมาแล้ว สมาธิตั้งมั่นแล้ว ทำไมมันพิจารณาไปไม่ได้ มันปฏิบัติไม่ได้ พอพิจารณาไป มันก็ยิ่งเสื่อมยิ่งถอยเพราะอะไร ก็เพราะเราโลภมาก เราอยากได้ เราต้องการผลของมันโดยฉับพลัน แต่ถ้าเราถอยกลับมานะ พอพิจารณาไปแล้วนี่ มันให้ค่า ให้ค่าเพราะจิตมันปล่อยวาง โอ้ รสของวิปัสสนา แล้วถ้าวิปัสสนาต่อไปมีกำลังมันก็ไปได้ ถ้ามันไปยังไม่ได้ ก็ต้องถอยกลับมาทำความสงบของใจ ต้องอาศัยสมถะ

นี่ไงอาศัยกำลังของสมาธิ ก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจ พอทำความสงบของใจ มีกำลังแล้วเราก็ไปต่อสู้ ความผิดพลาดนี่ มันจะไปสอนใจดวงนี้ ใจดวงนี้ที่ประพฤติปฏิบัติ ใจที่เข้าไปต่อสู้ การบริหารใจ การประพฤติปฏิบัติต่อใจที่ดีแล้ว แล้วเอาใจนี่ออกไปวิปัสสนาขนาดไหน เวลามันขาดนะ เวลามันขาดขึ้นมา คำว่าขาด เพราะถ้ามันไม่เคยได้รสสัมผัสคำว่าขาด มันไม่รู้จักสมุจเฉทปหาน

คนเรานี่จิตใจทุกดวงใจ ถ้ามันไม่มีประสบการณ์ของมัน มันจะพูดสิ่งนี้ไม่ได้ โสดาบันนะ โสดาบัน พระพุทธเจ้าก็ไม่รู้กับเรา พระอรหันต์นกหวีดไง จะมารายงานพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ พระพุทธเจ้าให้พระไปบังหน้าไว้เลย บอกว่าไม่ต้องเข้ามา ให้ไปดูป่าช้าก่อน ไปเที่ยวป่าช้า พอไปพิจารณาซากศพนี่ จิตใจมันหวั่นไหวเห็นไหม

ทำไมพระพุทธเจ้าไม่รู้ รู้ พระพุทธเจ้ารู้หมดล่ะ รู้ว่าผิดหรือถูกด้วย ถ้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ พระอานนท์ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ฟังเทศน์ของพระอัสสชิแล้วเป็นพระโสดาบัน มาขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วออกไปประพฤติปฏิบัติ พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบัน นั่งสัปหงกโงกง่วงอยู่ พระพุทธเจ้ามาโดยฤทธิ์เลย โมคคัลลานะ ถ้าเธอสัปหงกโงกง่วง เธอก็จงแหงนดูดาว เธอจงเอาน้ำลูบหน้า เธอจงตรึกในธรรม เธอจงพิจารณาเป็นธรรมะ พอถึงที่สุดแล้วถ้าเธอพิจารณาแล้ว มันยังง่วงอยู่เธอก็นอนซะ นอนก่อน นอนให้หายง่วง นอนแล้วขึ้นมาปฏิบัติใหม่ พระพุทธเจ้ารู้ไหม พระพุทธเจ้ารู้ไหมว่าเป็นพระโสดาบัน ไม่เป็นพระโสดาบัน รู้

แต่นี่ปฏิบัติโดยอารมณ์ ปฏิบัติโดยความรู้สึก ปฏิบัติโดยนึกคิด มันจะไม่เป็นความจริงขึ้นมาทั้งสิ้น แต่ถ้ามันปฏิบัติโดยความเป็นจริงเห็นไหม โสดาบันต้องรู้ ใจดวงนั้นต้องรู้ว่าเป็นโสดาบันก่อน เป็นโสดาบันเพราะอะไร เป็นโสดาบันเพราะกิเลสมันขาดอย่างไร ถ้ามันขาดออกไปแล้ว ผลลัพธ์มันต่างกัน นี่ไงถ้าจิตมันไม่เคยขาด ขณะจิตที่มันไม่เป็นโสดาบัน มันพูดตรงนี้ไม่ได้หรอก มันพูดอย่างไรก็ไม่ได้ แล้วถ้ายิ่งพูดออกมานะตาย เพราะพูดออกมานะ มันเป็นหลักฐานแล้ว พอมันเป็นตุ๊กตาให้คนโต้แย้งได้ ถ้าพูดออกมามันโต้แย้งได้ทันทีเลย เพราะผู้รู้มีจริง

ผู้รู้จริงมีอยู่ ถ้าผู้รู้จริงมีอยู่นี่ เวลาเราตั้งสมุฏฐานอะไรขึ้นมา ผู้รู้จริงนี่ตรวจสอบได้ทันทีเลย ฉะนั้นคำพูดว่าอะไรเป็นโสดาบัน แต่เป็นโสดาบันตอนไหน ตอนลืมไป ลืม เผลอไป เลยเป็นโสดาบันเลย ก็เลยไม่มีเหตุมีผลให้ตรวจสอบใช่ไหม เหมือนคนเป็นไข้ โรคอะไรก็รักษาตามโรคนั้น นี่ก็เหมือนกันถ้าจิตมันมีกิเลส จิตมันมีการกระทำนี้ มันทำอย่างไร เป็นโรคแล้วรักษาด้วยยาอะไร มันถึงหาย กินยาอะไรเข้าไป อ้อ เป็นมะเร็งแล้วมันหายเอง ไม่ได้รักษาอะไรเลยอยู่ดีๆ มันหาย เป็นโสดาบันเลย

ถ้าเราไม่ปฏิบัติต่อใจให้เป็นความเป็นจริง มันจะไม่เป็นจริงอย่างนั้น ถ้าจิตใจมันไม่เคยขาด มันไม่เคยมีประสบการณ์ของโสดาบัน สมุจเฉทปหาน เวลาเป็นโสดาบัน สังโยชน์ขาดๆ ออกไปแล้ว สิ่งนี้มันเป็นความถูกต้องของมัน พอเป็นความถูกต้องของมันเห็นไหม ประสบการณ์มันมีใช่ไหม มีตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน เวลาเราปฏิบัติต่อใจ ให้ใจตั้งมั่นก่อน ให้เริ่มต้นจากสิ่งข้อเท็จจริงก่อน สิ่งที่เป็นเหตุ สิ่งที่เป็นที่เก็บข้อมูลที่ตัวใจนี่ก่อน พอใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันแล้ว ออกวิปัสสนาไปบ่อยครั้ง มันจะผิดพลาด มันจะล้มลุกคลุกคลานไป การทำงาน คนเรามันมีผิดพลาดเป็นธรรมดา แล้วการทำงานๆ กับตัวเราเอง ดูสิ คนทำงานดูทางการแพทย์นะ ดูสิ เขาเพาะเชื้อเห็นไหม เขาต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ เขาต้องพิสูจน์ของเขา นั่นขนาดเป็นวัตถุธาตุนะ

แล้วนี่เป็นนามธรรม ธาตุรู้สสารเหมือนกัน เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา จนกว่ามันจะเข้า เห็นไหมเขาใช้กล้องจุลทรรศน์ดู เราใช้สติปัญญาของเราดู จิตเห็นจิต จิตต้องเห็น จิตเห็นอาการของจิต ถ้าเราไม่เห็นตัวมัน จะเอาจิตตัวไหนมาเห็นจิต ถ้าจิตเห็นจิต จิตเห็นอาการของจิตเห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต นี่เวลาพิจารณาไป อารมณ์ความรู้สึก นี่ทำความสงบเข้ามาก่อน

ถ้าจิตไม่สงบเข้ามา เราบริหารใจเราไม่ได้ เอาใจตัวไหนไปดูใจ เอาจิตตัวไหนไปดูจิต ถ้าเราจิตสงบก็ไม่เป็น นี่ไงเพราะเขาไม่ปฏิสนธิจิต เขาหาต้นเหตุของการเกิดและการตายไม่เจอ ต้นเหตุของการเกิดการตาย และต้นเหตุของอวิชชา ต้นเหตุของสมุฏฐานของโรคอยู่ที่นี่ พอที่นี่สงบตัวลงเห็นไหม มันเห็นอาการ เห็นอาการคืออะไร สิ่งที่เกิดอารมณ์ความรู้สึก สัญญาอารมณ์ที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นจากจิต พอเกิดขึ้นจากจิตนะ ก็จับจิตตัวนั้นวิปัสสนามัน แยกแยะกัน พอจิตเห็นจิตเห็นไหม สมุฏฐานของมันมี

ถ้าโดยสติปัญญา โดยสติ โดยใจ ใจมันเห็นอาการของใจ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดดับของใจที่เป็นความคิด สิ่งที่เกิดดับขึ้นมาจากความคิดพิจารณา ที่แยกแยะของมันเห็นไหม ทางโลกเขาใช้กล้องจุลทรรศน์ดูพวกเชื้อโรคต่างๆ เขาวิเคราะห์ต่างๆ ว่ามันมีเชื้อสิ่งใด สิ่งที่เขามองไม่เห็น เชื้อโรคนี่เขาเอามาแยกแยะได้หมดล่ะ เขาเพาะเชื้อขึ้นมา เขาเอามาพิสูจน์ได้ทั้งนั้นล่ะ แต่ใจของเราล่ะ กิเลสของเราล่ะ เราจะเพาะเชื้อมันอย่างไร มันจะอาศัยอะไรเป็นเครื่องอยู่ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เพราะมันอาศัยใจเรา พญามารนี่ลูกของมันนะ นี่โสดาบันนะยังไม่ สกิทา อนาคา ถึงที่สุด ทุกข์มันยังไปมหาศาลเลย เนี่ยการประพฤติปฏิบัติ มันลึกลับซับซ้อนมันละเอียดมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถึงบอกว่า เราจะสอนได้ยังไงจะสอนได้อย่างไร ก็สอนไงสอนมนุษย์ผู้มีกิเลส สอนมนุษย์ที่พยายามขวนขวายหาทางออก เราเป็นมนุษย์ปุถุชน เราจะพยายามหาทางออกของเราเห็นไหม

เราพยายามหาทางออกของเรา เราต้องเชื่อมั่น แล้วเราทำด้วยความจริงจัง มันจะทุกข์ มันจะยาก งานทางโลกอย่างไรขนาดไหน มันจะทุกข์ขนาดไหน เราก็ทำของเราอยู่ แต่งานประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นั่งเฉยๆ นะ นั่งสมาธิ เดินจงกรม โอ้โฮ ทุกข์มาก เพราะมันเป็นการบริหาร มันเป็นการบริหารใจ มันเป็นการบริหาร มันปฏิบัติต่อใจของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ทำอะไรกัน เห็นเดินไปเดินมา พวกนี้ไม่มีงานทำหรือ อุ้ย งานของใจนี่ง่ายๆ มันใช้จิตนะ ใช้ใจจับใจ ใช้ใจบริหารใจ

สิ่งนี้ที่บริหารใจ มันมีการกระทำของมันเห็นไหม มันมีการกระทำของมัน มันมีการต่อสู้ของมัน งานอย่างนี้มันเป็นงานของบุรุษอาชาไนยนะ บุรุษอาชาไนย ดูสัตว์อาชาไนยสิ มันไม่กิน ไม่เลือกกินหญ้ากินน้ำสกปรกกินน้ำ โดยทั่วๆ ไปสัตว์หิวสัตว์โหยเจออะไรมันกินทั้งนั้นล่ะ แต่สัตว์อาชาไนยนะ มันจะเลือกแยกแยะอะไรควรของมันไม่ควร นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ เราจะทำของเรา มันจะควร ไม่ควร เราต้องตั้งใจของเรา

ถ้าตั้งใจมันจะย้อนกลับมาที่เรานะ ย้อนกลับมาที่เรา ผลของเราเกิดเห็นไหม เรื่องของคนอื่น เรื่องข่าวสารของคนอื่น สำเร็จที่นั่นเป็นโสดาบัน เป็นอนาคา มันผลประโยชน์ของคนอื่นทั้งนั้นเลย เรื่องผลประโยชน์ของเรามันกังวานกลางหัวใจนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ โลกธาตุหวั่นไหวเห็นไหม โลกธาตุมันไหว ขั้วหัวใจมันหวั่นไหวหมดเลย เวลามันกระเทือนขึ้นมาแล้วรู้อยู่คนเดียวนะ รู้อยู่ในหัวใจดวงนี้ดวงเดียว แต่เทวดา อินทร์ พรหม รู้กับเรานะ เทวดา อินทร์ พรหม รู้ สิ่งต่างๆ เขารู้เห็นไหม

ดูสิ เวลาอยู่ในป่าในเขาเห็นไหม จิตใจที่มันสว่างไสว มันก็เหมือนไฟจุดสว่างไสว แล้วอยู่ในที่มืดนะทำไมเทวดาเขาไม่เห็น มองไปทางไหนมืดหมดเลย เหมือนพวกเรานี่มืดหมดเลย มืดด้วยอะไร มืดด้วยมาร ด้วยอวิชชา มันครอบงำจิตใจ ครอบงำด้วยความมืดบอดหมดเลย แต่ถ้าพอจิตใจเราประพฤติปฏิบัติ จิตใจมันสว่างไสว มันผ่องใสขึ้นมาเห็นไหม ความสว่างของใจ เทวดา อินทร์ พรหม เขารู้กับเรา เขารู้กับเรา เขาอนุโมทนากับเรานะ แต่ขณะที่ปัจจุบันนะเทวดา อินทร์ พรหม ยังไม่รู้หรอก เรารู้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา ด้วยเหงื่อด้วยไคลของเรา ด้วยการต่อสู้วิริยะอุตสาหะของเราเห็นไหม จนถึงที่สุดมันขาด พอจิตมันขาด พอกิเลสมันขาดจากใจ พอกิเลสขาดจากใจนี่เป็นโสดาบัน

โสดาบันเพราะอะไร เพราะว่าพิจารณาไปเห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สักกายทิฏฐิ ถ้าพูดถึงพุทธพจน์นี่ถูกต้อง นี่เวลาเทียบพุทธพจน์เราเทียบด้วยคุณค่า เราเทียบด้วยคุณค่าแต่เราไม่อ้างพุทธพจน์ พุทธพจน์นะเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า แต่คุณค่าเพราะจิตมันทำ คุณค่าเพราะเราปฏิบัติต่อจิต ปฏิบัติต่อใจเราถูกต้อง

แล้วใจของเรา ออกวิปัสสนาในความถูกต้อง แล้วใจของเรานะมันวิปัสสนามันทำลายตัวมันเอง ทำลายด้วยมรรคญาณนี่ งานข้างนอก งานนี่ดูเราทำงานสิ เรามีมือมีไม้ มีอุปกรณ์ทำงานทั้งหมด แต่เวลาวิปัสสนาขึ้นมา อู้ฮู ใจมันทำงาน แล้วทำอย่างไรเห็นไหม ถ้าเราไม่ปฏิบัติต่อใจให้ถูกต้อง แล้วใจมันจะหมุนกลับเข้าไปอย่างไร ธรรมจักร จักรเวลาเกิดแล้ว งานชอบ เพียรชอบ ดำริชอบ ความชอบ รำลึกชอบ ต่างๆ นี่ มันวิปัสสนาอย่างไร กิจจญาณ สัจจญาณนี่เกิดขึ้นมาอย่างไร

ญาณัง อุทปาทิ ญาณเกิดขึ้น วิชชา อุทปาทิ วิญญาณัง อุทปาทิ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นอย่างไร พอมันเกิดขึ้นกับการกระทำของมันเห็นไหม ถึงที่สุดมรรครวมตัว มันขาด มันรู้มันเห็นของมัน พอมันขาดขึ้นมา มันรู้มันเป็นเห็นมันถอนหมดไง มันถอนไงสักกายทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเห็นที่ผิดมันถอนหมดเลย วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส แล้วมันมาจากไหน มันมาจากไหน ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ท่านตรัสรู้ธรรมอยู่โคนต้นโพธิ์ ทำไมหลวงปู่ขาวท่านบอกว่า ท่านสำเร็จที่โรงขอด ที่เชียงใหม่เห็นไหม นี่ไงมันรู้ไง มันรู้เลยนะว่าจิตนี่มันสำเร็จที่ไหน จิตนี่เวลาถอน เรานั่งๆ อยู่ที่นี่ ถ้าจิตมันถอนที่นี่ไง ใช่เราถอนเมื่อวันนั้น เวลานั้น ที่นั่น ด้วยวิธีการอย่างนั้นๆ แล้วบอกว่าไม่รู้ได้อย่างไร บอกว่าโสดาบันไม่รู้จักโสดาบัน มันเป็นไปได้อย่างไร

เวลาพูดถึงสถานที่ พูดถึงการกระทำนี่ มันไม่ได้อวดอุตริ เหมือนบอกเราเกิดที่ไหนนี่ คนที่นั่งอยู่นี่ มันเกิดที่ไหน เกิดโรงพยาบาลไง ห้องคลอดเดียวกันหมดเลย เกิดที่โรงพยาบาล เกิดที่ไหน นี่จิตมันเป็นที่ไหน พอจิตมันเป็นที่ไหนขึ้นมา บอกสถานที่ บอกอะไร อย่างนี้ครูบาอาจารย์ท่านรู้ของท่าน มันเป็นสิ่งที่เขาว่าอวดอุตรินั่น มันเป็นมุมมองของคนอื่น แต่ถ้าเราไม่รู้ที่เกิด เราไม่รู้สิ่งต่างๆ แล้วเราจะพูดกันอย่างไรล่ะ เรารู้ที่เกิด รู้ถึงธรรมะเกิดกับใจนะ

รู้ได้ เห็นได้ ด้วยการกระทำของเรา เราต้องปฏิบัติต่อใจของเราให้ถูกต้อง แล้วใจของเราที่ปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว ควบคุมใจได้ดีแล้ว นี่มันจะออกวิปัสสนาของมัน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เป็นเท้าสองเท้า เท้าซ้ายเท้าขวาจะก้าวเดินไปร่วมกัน ก้าวเดินไปร่วมกันนี่ เท้าซ้ายและเท้าขวา ทำให้ร่างกายนี้ได้เคลื่อนไหวไปด้วยด้วยเท้า นี่ก็เหมือนกันสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เป็นผลงานของใจ แล้วทำขึ้นมา เวลาผลมันตอบสนองทั้งสมถกรรมฐาน วิปัสสนา รวมแล้วมันก็เป็นมรรค๘ มรรค ๘ นี้ มรรคญาณหมุนเข้ามา มันก็ชำระกิเลสออกจากหัวใจ ออกจากหัวใจเห็นไหม นี่ปฏิบัติต่อใจที่ถูกต้อง ใจเกิดมรรคญาณที่ถูกต้อง ทำลายหัวใจที่ถูกต้อง ถึงที่สุดพ้นจากทุกข์ไป ผู้ปฏิบัติจะประสบความสำเร็จ เอวัง